อาเสวนปัจจัย
ยังมีข้อสงสัยใน “ปุเรชาตปัจจัย” กับ“ปัจฉาชาตปัจจัย”ไหม ถ้าไม่มีก็ควรที่จะพิจารณาว่า พระผู้มีพระภาคจะทรงแสดงปัจจัยอะไรต่อจากปุเรชาตปัจจัยและปัจฉาชาตปัจจัย
สำหรับปัจจัยต่อไปที่ทรงแสดง คือ “อาเสวนปัจจัย”
ซึ่งมีความหมายว่า คำว่า“อาเสวนะ” แปลว่า เสพบ่อย ๆ คือ เสพอารมณ์บ่อย ๆ ซึ่งก็ได้แก่ ชวนจิตซึ่งเกิดก่อน ๆ เป็นอาเสวนปัจจัยแก่ชวนจิตซึ่งเกิดหลัง ๆ เว้นวิบากจิต
ซึ่งก็ควรที่จะได้พิจารณาในขณะที่นามธรรมและรูปธรรมกำลังเป็นปัจจัยในขณะนี้ สืบต่อจากความเข้าใจปุเรชาตปัจจัยและปัจฉาชาตปัจจัยว่า ช่วงไหนตอนไหนของการเป็นปัจจัย ของนามธรรมและรูปธรรมซึ่งรูปตั้งอยู่เพียง ๑๗ ขณะ แล้วเป็นปัจจัยนั้น จะเป็นตอนซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างไร ?
“อาเสวนปัจจัย” ซึ่งได้แก่“ชวนจิต” ที่เกิดก่อน ๆเป็นอาเสวนปัจจัยแก่ชวนจิตที่เกิดหลัง ๆ
สำหรับชวนจิตนั้น ก็ได้แก่กุศลจิต อกุศลจิตสำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ และกิริยาจิตสำหรับพระอรหันต์
เพราะฉะนั้นอาเสวนปัจจัย ได้แก่ กุศลจิต อกุศลจิต หรือกิริยาจิต ที่ทำให้ปัจจยุปบันนคือ จิตที่เกิดต่อซึ่งเป็นจิตชาติเดียวกันเสพอารมณ์ที่ตนเสพแล้วนั้นซ้ำอีก
เพราะฉะนั้นก็แสดงถึงขณะที่ชวนจิต ๗ ขณะเกิด – ดับสืบต่อกัน และเสพอารมณ์ซ้ำกัน โดยต้องเป็นจิตประเภทเดียวคือเป็นชาติเดียวกัน