เรื่องพระมหาติสสเถระ


    ในวิสุทธิมรรค ศีลนิทเทส อินทริยสังวรศีล เป็นเรื่องของท่านพระภิกษุที่ท่านไม่หลงติดในนิมิต อนุพยัญชนะ เพราะท่านเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ คือเรื่องพระมหาติสสเถระ มีเรื่องเล่าว่า

    หญิงสะใภ้แห่งตระกูลหนึ่งทะเลาะกับสามี แล้วตกแต่งประดับกายงามราวกะนางฟ้า ออกจากเมืองอนุราชะแต่เช้า เดินไปบ้านญาติ ในระหว่างทางได้เห็นพระมหาติสสเถระซึ่งเดินจากเจติยบรรพตเข้าไปบิณฑบาตในเมืองอนุราชะ หญิงนั้นเกิดมีจิตวิปลาสหัวเราะเสียงดังขึ้น พระมหาติสสะเถระก็แลดูว่าเสียงอะไร ท่านเห็นฟันของหญิงนั้น ก็ระลึกถึงความเป็นอสุภะ บรรลุอรหันต์ ณ ที่นั้นเอง

    เมื่อสามีของหญิงนั้นเดินติดตามหญิงนั้นมา พบพระเถระก็ถามว่า เห็นหญิงเดินไปทางนี้บ้างไหม พระมหาติสสะเถระก็กล่าวตอบว่า ท่านไม่ทราบว่าหญิงหรือชายเดินไปทางนี้ เห็นแต่ร่างกระดูกเดินไป

    แสดงว่าไม่จำเป็นที่จะต้องเห็นซากศพเท่านั้นจึงจะระลึกได้ ท่านที่อบรมเนืองๆ นี้ แทนที่จะเห็นเป็นอย่างนี้ ก็เห็นเหมือนป่าช้าผีดิบก็ได้ นั่งกันอยู่ ยืนกันอยู่ ยิ้มหัวเราะกันอยู่ อีก ๕๐๐ ปี แน่นอนทีเดียวว่าจะต้องเสมือนกับ ป่าช้า แต่ว่าเวลานี้ยังไม่เป็นอย่างนั้นเท่านั้นเอง แต่ก็ต้องเป็นวันหนึ่ง เพราะฉะนั้นผู้ที่อบรมก็จะเห็นได้ว่า ท่านเป็นผู้ที่สามารถระลึกได้ มีสัญญาที่จะทำให้สติระลึกได้ ก็ได้อบรมมา แล้วก็ขอให้พิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดว่า เป็นปกติในชีวิตประจำวันไหม หรือว่าต้องแยกไปสู่ที่หนึ่งที่ใดแล้วจึงสามารถจะจะบรรลุอรหันต์ได้ เพราะเหตุว่า พระมหาติสสเถระท่านเดินเข้าไปบิณฑบาตในเมืองอนุราธะเป็นปกติ เดินไปก็เจริญสติได้ และท่านได้เห็นหญิงคนหนึ่งซึ่งมีจิตวิปลาส หัวเราะดังขึ้น พระมหาติสสเถระก็แลดูว่าเสียงอะไร ขณะที่กำลังเจริญสติปัฏฐาน ได้ยินเสียงปกติ ธรรมดาที่สุด เดินไปก็เป็นปกติ เจริญสติได้ ถ้าไม่เจริญสติจะบรรลุพระอรหันต์ในขณะนั้นในที่นั้นได้อย่างไร ท่านก็ต้องเป็นผู้ที่เจริญสติ แล้วก็เวลาที่มีเสียงปรากฏท่านก็ยังแลดูเพื่อจะรู้ว่าเป็นเสียงอะไร แต่เพราะเหตุว่าท่านได้อบรม สะสมในเรื่องอัฏฐิกสัญญา ก็ทำให้เห็นความเป็นอสุภะ มีโยนิโสมนสิการ ละคลายได้ทั้งหมด ดับอาสวะกิเลสได้ บรรลุความเป็นอรหันต์ในที่นั้น ต้องเป็นผู้ที่เจริญสติแล้ว ไม่ใช่ไม่เคย แต่เพราะยังมีเยื่อใย ยังไม่ละ จนกว่าอินทรีย์จะแก่กล้าซึ่งไม่ทราบจะเป็นที่หนึ่งที่ใดก็ได้ ประสบพบเห็นอะไรก็ได้ จะเห็นหญิงที่แต่งตัวสวยอย่างกะนางฟ้าก็ได้ ที่ในเมืองอนุราธะก็ได้ กำลังเดินบิณฑบาตก็ได้ ได้ทุกอย่างแล้วแต่ว่าสติจะสมบูรณ์ อินทรีย์แก่กล้า มีโยนิโสมนสิการ ที่จะทำให้ละคลายได้เมื่อไหร่

    เวลาที่สามีของหญิงนั้นถามท่านว่า เห็นหญิงเดินไปทางนี้บ้างไหม ท่านก็กล่าวตอบว่า ท่านไม่ทราบว่าหญิงหรือชายเดินไปทางนี้ เห็นแต่ร่างกระดูกเดินไป นี่คือการไม่ใส่ใจ ไม่ติดข้องในนิมิต อนุพยัญชนะ เพราะว่าท่านระลึกถึงสภาพที่เป็นอสุภะในลักษณะนั้น ท่านระลึกถึงลักษณะของความเป็นอย่างนั้น ก็เหมือนอย่างเวลานี้ที่ให้ระลึก เป็นกระดูก เป็นอะไรทั้งนั้น ที่นั่งอยู่ที่นี่ เปลี่ยนสภาพให้เป็นแต่กระดูกทั้งนั้นก็ได้

    สำหรับสมถกรรมฐานนั้นอีกอย่างหนึ่ง สำหรับมหาสติปัฏฐานนั้นอีกอย่างหนึ่ง สติเป็นเครื่องให้ระลึกเท่านั้น แล้วก็ดับไป แล้วแต่ลักษณะของนามใดรูปใดจะเกิดต่อ สติที่ได้เจริญอบรมมาแล้วอย่างดี ก็รู้ลักษณะของนาม และรูปนั้นตามความเป็นจริง อาศัยเป็นเครื่องระลึกเพื่อไม่ให้หลงลืมสติ ในขณะนั้น ขณะที่กำลังเดิน แล้วก็ได้ยินเสียง แล้วก็เห็น ถ้าปัญญาไม่เกิด ไม่แทงตลอดในขณะนั้น บรรลุความเป็นอรหันต์ไม่ได้ แล้วแต่ว่าท่านจะเจริญสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา แต่ว่าการที่จะบรรลุความเป็นพระอรหัน์ตนั้นจะต้องอบรมเจริญสติปัฏฐานแน่นอน ไม่ใช่ว่าท่านเจริญฌานแล้วก็บรรลุอรหัตด้วยฌาน ไม่ใช่ ต้องเป็นผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน


    หมายเลข 5411
    2 ส.ค. 2567