ผู้มีปรกติเจริญสติปัฏฐานจะไม่ขาดสัมมาสมาธิ
มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งเป็นห่วงว่า การเจริญกุศลของท่านจะไม่ครบ เพราะเหตุว่าท่านมีศีล และท่านก็เจริญปัญญาคือเจริญสติปัฏฐาน ท่านคงขาดสมาธิ ซึ่งแต่ก่อนที่จะได้ฟังสติปัฏฐาน ก็เป็นผู้ที่เจริญสมาธิบ้าง เจริญสมาธิมาแล้วด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนจากการเจริญสมาธิ มาเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ท่านผู้นั้นก็เข้าใจว่า ท่านได้ขาดกุศลไปประเภทหนึ่ง คือท่านมีศีลแล้วก็มีปัญญาแต่ว่าขาดสมาธิ เพราะฉะนั้นวันหนึ่งท่านเสียดายการที่กุศลของท่านจะไม่ครบ เพราะฉะนั้นท่านก็ทำสมาธิสักครึ่งชั่วโมง แต่ขอให้ทราบว่า ในมรรคมีองค์ ๘ นั้นมีสัมมาสมาธิที่เกิดพร้อมกับสัมมาสติ และสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ว่าผู้เจริญสติปัฏฐานจะไม่มีสมาธิ ไม่ใช่ว่าจะขาดคุณธรรมหรือว่าจะขาดกุศลไปขั้นหนึ่ง ในขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูป ในขณะนั้นมีสัมมาสมาธิเกิดร่วมกับสติ เกิดร่วมกับสัมมาทิฏฐิ และที่ชื่อว่า เป็นสัมมาสมาธิในมรรคมีองค์ ๘ นั้น เพราะเหตุว่าเกิดร่วมกับสัมมาสติ และสัมมาทิฏฐิ คนต่างกันของสัมมาสมาธิที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ กับสมาธิอื่นๆ นั้นก็คือว่า สมาธิอื่นๆ ไม่ละความเห็นผิดที่ยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน แต่สัมมาสมาธิที่เกิดพร้อมกับสติที่รู้ลักษณะของนาม และรูปในขณะนั้น เป็นสัมมาสมาธิที่ละการเห็นผิดการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน นี่คือความต่างกัน เพราะฉะนั้นในขณะใดที่ระลึกรู้ลักษณะของนาม ระลึกรู้ลักษณะของรูป ในขณะนั้นมีสัมมาสมาธิที่ละการยึดถืองานรูปว่าเป็นตัวตน ต่างกับสมาธิอื่นๆ ที่ไม่ได้ละการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นผู้ที่เจริญสติปัฏฐานไม่ใช่ว่าขาดสมาธิ ในขณะที่สติระลึกรู้นามใดรูปใด ในขณะนั้นก็มีสัมมาสมาธิเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ไม่ต้องไปเจริญสมาธิอีกต่างหาก ซึ่งตลอดเวลาที่ท่านผู้นั้นนั่งทำสมาธิครึ่งชั่วโมง ไม่รู้ลักษณะของนามรูปที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเลย ซึ่งแทนที่ท่านจะใช้เวลาทำสมาธิให้จดจ้องเพื่อให้จิตสงบ สติก็อาจจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามที่กำลังปรากฏ รูปที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ได้มากมายหลายขณะ ซึ่งจะอุปการะเกื้อกูลให้เกิดปัญญาที่รู้ชัดในลักษณะของนามรูปที่กำลังปรากฏมากขึ้น แล้วก็สามารถที่จะละคลายได้ในที่สุด เพราะฉะนั้นการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในทางธรรม ก็มีต่างกันตามระดับของความเข้าใจ
การใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในทางธรรม ก็มีต่างกันตามระดับของความเข้าใจ ถ้าเข้าใจผิดนิดเดียว กลัวว่าจะขาดสมาธิ ก็ไปทำสมาธิซึ่งตลอดเวลาครึ่งชั่วโมงที่ทำสมาธิ ไม่รู้ลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏทางตาหูจมูกลิ้นกายใจเลย บางท่านเกรงว่าจะขาดสมาธิก็อุตส่าห์ไปทำสมาธิครึ่งชั่วโมงก็น่าเสียดายใช่ไหม เพราะเหตุว่าความเข้าใจผิดนิดเดียวก็ทำให้เป็นตัวตนที่ต้องการ ไม่รู้ลักษณะของนาม และรูป ซึ่งแต่ละขณะที่สติระลึกในลักษณะของนาม และรูปนั้นเป็นประโยชน์มาก เพื่อการละคลายในภายหลัง แต่ถ้าสติไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปเลย จะละคลายความยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละขณะที่สติระลึกได้ มีคุณมาก มีประโยชน์มาก และการระลึกก็ระลึกเป็นปกติ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ เพราะเหตุว่าเป็นนามธรรม