ไม่หวังรอวิปัสสนาญาณ
ก่อนที่จะฟังเรื่องแนวทางการเจริญสติปัฏฐาน ท่านก็เข้าใจว่าท่านรู้แล้วในนาม และรูป ท่านเจริญอย่างพากเพียรจริงๆ ไม่ว่าจะให้ท่านจะทำอย่างไรท่านก็พยายามทุกอย่างทุกประการ แล้วท่านก็เฝ้าแต่รออุทยัพพยญาณ รอจริงๆ ที่จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปของนาม และรูป มีแต่ความหวัง มีแต่การรอคอย แต่ว่าไม่รู้ลักษณะในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังโกรธ กำลังชอบ ตามปกติ เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวันเลย ไม่มีความรู้ในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่ไปเฝ้ารออุทยัพพยญาณโดยไม่รู้อะไร แต่ว่าเมื่อท่านได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานแล้วก็ทราบว่า ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่เป็นปัญญานั้น จะต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ที่ใช้คำว่า ปัจจุบันอารมณ์ หมายความถึง สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ อย่าผละไปที่อื่นเลย ระลึกได้ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ระลึกได้ เมื่อเป็นปัญญาแล้วปัญญารู้ได้ เพราะฉะนั้นเลิกการรอคอยอุทยัพพยญาณด้วยความไม่รู้ แต่เจริญสติเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ละคลายความหวังรอซึ่งเป็นสมุทยสัจจ์ ไม่ได้ช่วยให้เกิดอะไรขึ้นเลย เป็นลักษณะของโลภะ เป็นลักษณะของความต้องการ ผู้ที่เคยรอเคยหวังอย่างนั้นก็จะบอกได้ทีเดียวว่า ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา พยายามที่จะให้เป็นอุทยัพพยญาณทั้งนั้น คอยเข้าข้างตัวเองอยู่ตลอดเวลา ใช่แล้ว นี่เกิดแล้วนี่ก็ดับไป แต่ผู้ที่จะระลึกได้ว่า ไม่จำเป็นต้องรอคอยอุทยัพพยญาณ เพราะเหตุว่าเป็นผลซึ่งต้องมาจากเหตุ และเหตุนั้นคือการเจริญปัญญา เพื่อรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าเป็นโดยลักษณะนี้ก็จะไม่มีการไปหวังรอคอยผล โดยที่เหตุไม่ได้เจริญเลย ไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของเห็น ของสีต่างๆ ไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของได้ยินที่กำลังปรากฏ กับเสียงที่กำลังปรากฏ จะไปหวังรอคอยอุทยัพพยญาณได้ยังไง เพราะฉะนั้นท่านผู้นั้นก็ล้มเลิกความหวัง ซึ่งก็ดีที่ละสมุทยสัจจ์ แต่ว่าเริ่มเจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของนามบ้าง รูปบ้าง ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง ก่ายบ้าง ใจบ้าง เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพื่อการรู้ชัด ไม่ใช่เพื่อการไปดูให้เห็น ถ้าไปดูให้เห็นแล้วไม่รู้เลย แต่นี่ทุกขณะที่เกิด ความรู้ละความไม่รู้