วิบากจิตเริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ เลือกไม่ได้เลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น วิบากจิต ตามปกติก็เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิ จิตขณะแรกที่เกิด เลือกไม่ได้เลย มีใครอยากจะเกิดเป็นนกบ้าง มีใครอยากจะเกิดเป็นงูบ้าง แล้วทำไมมีงูเกิดขึ้นมา มีนกเกิดขึ้นมา เพราะอะไร เป็นผลของกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม ต้องเป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ขณะแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว ถ้าใช้คำว่า “ปฎิสนธิ” หมายความว่าสืบต่อจากชาติก่อนคือจุติจิต ทันทีที่จุติจิตของชาติก่อนดับ ใครก็ตามที่สิ้นชีวิต ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย จากโลกเก่ามา โลกเก่าเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ วงศาคณาญาติก่อนๆ เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แต่มาสู่สกุลใหม่ ญาติใหม่ โลกใหม่ คือโลกนี้ที่กำลังเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว แล้วแต่ว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ ในภูมินี้ ก็เห็นสัตว์เดรัจฉานรูปร่างต่างๆ กันตามความวิจิตรของกรรมที่ได้กระทำ สุนัขหน้าตาเหมือนกัน หรือไม่ ไม่หมือนกัน หากพูดถึงมด ก็จะบอกว่าเหมือนกัน หรือไม่เหมือนกัน จริงๆ ก็แล้วแต่กรรม พวกที่เกิดในนรก เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นอสุรกาย เกิดเป็นเปรต เป็นผลของอกุศลกรรม เพราะฉะนั้นทุกคนก็ได้มีกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว กุศลที่ดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ดีที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ก็เป็นสิ่งซึ่งจะต้องสะสมกุศลที่ดีนี้ต่อไป เพราะว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่ากรรมเก่าๆ ที่ได้กระทำในชาติก่อนๆ กรรมไหนจะสุกงอมที่จะให้ผล แต่ให้ทราบว่า เวลาที่พูดถึงวิบาก ได้ยินคำว่า “วิบาก” ก่อนศึกษาธรรม วิบาก หมายถึงอะไร คิดถึงอะไร เวลาได้ยินคำว่าวิบาก
ผู้ฟัง เป็นผลของกรรม
ท่านอาจารย์ คิดอย่างนั้นเลย หรือ เวลาได้ยินคำว่าวิบากต้องคิดว่าไม่ดีใช่ หรือไม่ วิ่งวิบากนี่คงเหนื่อย ทรมาน ไม่เป็นปกติ
ผู้ฟัง กรรมที่ให้ผล จะมีทั้งกรรมดี หรือกรรมชั่ว
ท่านอาจารย์ วิบาก เป็นคำกลางๆ ถ้าเป็นผลของกุศล คำเต็มจะต้องใช้คำว่า “กุศลวิบาก” ถ้าเป็นผลของอกุศล จิตนั้นเป็นอกุศลวิบาก เพราะฉะนั้นเราก็ทราบว่าปฏิสนธิจิตของแต่ละคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นกุศลวิบาก เป็นผลของกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วหนึ่งกรรม แต่ความละเอียดของกรรมที่แต่ละคนได้ทำมาแล้วก็เห็นได้ว่า เหตุใดเราหน้าตาไม่เหมือนกัน ไม่ว่าคนจะมีจำนวนสักเท่าไหร่ก็ตาม หน้าตาก็ไม่เหมือนกัน ลองคิดถึงดอกกุหลาบ และดอกกล้วยไม้ เหมือนกัน หรือไม่ ไม่เหมือน ทั้งๆ ที่เป็นรูปไม่ได้ทำดีทำชั่วอะไรเลย เพียงแต่ความละเอียดของส่วนผสมของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็จะทำให้ส่วนของต้นไม้บางส่วน เช่นใบ ดอก ผลต่างๆ ต่างกันมากเลยทีเดียว นั่นคือสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่ได้กระทำกรรม แต่ถ้ากล่าวถึงจิตซึ่งเป็นธาตุรู้ และเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดรูปคือการกระทำทางกาย หรือวาจาต่างๆ กัน เพราะฉะนั้นผลก็ต้องต่างกัน โดยการที่เราเห็นได้เลย เพราะฉะนั้นสัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญ และบาป และในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็เป็นที่ดูบุญ และบาปด้วย เพราะฉะนั้นในขั้นต้นก็ให้เข้าใจว่าจิตไม่ได้มีแต่เพียงกุศล หรืออกุศลซึ่งเป็นเหตุเท่านั้น ยังมีจิตซึ่งเป็น วิ-ปา-กะ คือเป็น วิบาก เป็นผลของกุศลกรรม และอกุศลกรรม ที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดมา ถ้าเกิดดีก็เป็นกุศลวิบาก เป็นผลของกุศลกรรม แต่ว่าเกิดมาแล้วจะดีจะชั่ว กุศลจิต หรืออกุศลจิตก็จะเกิดสลับกันกับวิบาก เพราะฉะนั้นเวลาที่ศึกษาธรรมเราก็จะเข้าใจชัดเจน จิตประเภทใดเป็นกุศล จิตประเภทใดเป็นอกุศล จิตประเภทใดเป็นวิบาก ปฏิสนธิจิตคือขณะแรกเป็นวิบาก
ที่มา ...