การเจริญสติปัฏฐานของพระมหาติสสเถระ
เรื่องของพระมหาติสสเถระได้เคยเรียนให้ทราบแล้ว อยู่ในหัวข้อของศีลนิเทส วิสุทธิมรรค อินทริยสังวรศีล ที่ได้กล่าวถึงหัวข้อของที่มาของเรื่องก็เพื่อที่จะให้ท่านทราบว่า ในการแสดงเรื่องของพระมหาติสสเถระนั้นต้องการให้ท่านเข้าใจข้อความนั้นอย่างไร คือ ในวิสุทธิมรรค ศีลนิเทส อินทริยสังวรศีล เป็นเรื่องของการสังวรอินทรีย์ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะเห็น จะได้ยิน ก็ไม่หลงยึดถือติดในสิ่งนั้นว่าเป็นตัวตนนั่นเอง มีการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏแต่ละขณะที่เกิดขึ้น และก็ดับไปอย่างรวดเร็วนั้นตามความเป็นจริง ขอกล่าวถึงเรื่องของพระมหาติสสเถระอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้ท่านได้พิจารณาโดยละเอียด
เรื่องเล่าว่า หญิงสะใภ้แห่งตระกูลหนึ่งทะเลาะกับสามี ตกแต่งประดับกายงามราวกับนางฟ้าออกจากเมืองอนุราธแต่เช้า เดินไปบ้านญาติ เมื่อระหว่างทางได้เห็นพระมหาติสสเถระซึ่งเดินจากเจติยบรรพตเข้าไปบิณฑบาตในเมืองอนุราธ หญิงนั้นเกิดมีจิตวิปลาสหัวเราะดังขึ้น พระมหาติสสเถระก็แลดูว่าเสียงอะไร เห็นฟันของหญิงนั้นก็ระลึกถึงความเป็นอสุภะ บรรลุอรหันต์ ณ ที่นั้นเอง เมื่อสามีของนางเดินติดตามมา พบพระเถระก็ถามว่า เห็นหญิงเดินไปทางนี้บ้างไหม พระมหาติสสเถระกล่าวตอบว่า ท่านไม่ทราบว่าหญิงหรือชายเดินไปทางนี้ เห็นแต่ร่างกระดูกเดินไป ข้อความนี้จะแสดงให้เห็นอินทริยสังวรของมหาติสสเถระ เพราะเหตุว่า อยู่ในตอนศีลนิเทส อินทรียสังวรศีล ซึ่งการที่จะสังวรอินทรีย์ได้นั้น ก็จะต้องมีสติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ถูกต้องตามความเป็นจริง ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจตามปกติ ขอให้ดูว่า พระมหาติสสเถระทำกิจเป็นปกติในชีวิตประจำวันหรือไม่ ข้อนี้ก่อนที่จะต้องสังเกตว่า พระมหาติสสเถระทำกิจเป็นปกติในชีวิตประจำวันหรือไม่
ท่านเดินจากบิณฑบาตในเมืองอนุราธ เดินจากเจติยบรรพต จากภูเขาไปบิณฑบาตในเมืองอนุราธเป็นปกติ สังวรอินทรีย์ได้ไหม แล้วเดินจากเขาเข้าไปบิณฑบาตในเมืองอนุราธ ถ้าไม่รู้หนทางคือเห็นแล้วไม่รู้ว่าอะไร จะเดินไปถูกไหม ก็คงจะถูกหนาม ตกหล่ม ตกบ่อหรือไม่จะเป็นอันตรายเป็นแน่ถ้าท่านไม่ทราบหนทาง เพราะเหตุว่า ถ้าการสังวรอินทรีย์นั้นหมายความว่า เห็นแล้วไม่รู้ว่าอะไร ท่านจะเดินไปไหนไม่ได้เลยโดยลักษณะนั้น แต่นี่ทั้งๆ ที่เป็นอินทริยสังวรก็เป็นปกติ เพราะเหตุว่าท่านเจริญสติรู้ลักษณะของนามรูปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจตามปกติธรรมดา สติสามารถที่จะแทรกระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปทั้งปวงได้ นี่ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง เวลาที่หญิงนั้นเกิดจิตวิปลาส หัวเราะดังขึ้น พระมหาติสสเถระก็แลดูว่าเสียงอะไร ปกติไหม ถ้าเกิดมีเสียงอะไรประหลาดขึ้นที่นี่ ทุกคนก็ได้ยินดูไหมว่าเสียงอะไร เป็นธรรมดา เป็นปกติ สังวรอินทรีย์ได้ไหม เพราะเหตุว่า สังวรอินทรีย์ด้วย เป็นปกติ อย่าลืม มีนามมีรูปอยู่ตลอดเวลาไม่ต้องห่วงเลย เพียงแต่ให้สติระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นสังวรทางตา ทางหูก็เป็นสังวรทางหู ทางจมูกก็เป็นสังวรทางจมูก ทางลิ้นก็เป็นสังวรทางลิ้น ทางกายก็เป็นสังวรทางกาย ทางใจที่รู้เรื่องก็เป็นนามชนิดหนึ่ง ถ้าสติเกิดขึ้นระลึกรู้ ก็เป็นการสังวรทางใจ ไม่ใช่ตัวตนเลย แล้วก็มีนามรูปเกิดดับสืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ แล้วแต่สติที่ระลึกรู้ลักษณะของนามอะไร ของรูปอะไร จนชิน
เมื่อพระมหาติสสเถระเห็นฟันของหญิงนั้น ก็ระลึกถึงความเป็นอสุภะ บรรลุอรหันต์ ท่านเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า หรือว่าท่านเจริญสมถภาวนาจึงได้บรรลุอรหันต์ การเจริญสมถภาวนานั้นทำให้จิตสงบไม่รับรู้อารมณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนอกจากอารมณ์ของสมถกรรมฐานเท่านั้น ถ้าเป็นอสุภกรรมฐานโดยนัยของสมถภาวนา ก็จะมีนิมิตแล้วแต่ว่าจะเป็นอสุภะในลักษณะใดทำให้จิตแนบแน่นอยู่ในอารมณ์นั้น ไม่รู้ลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น แต่ว่าผู้ที่ถึงแม้ว่าจะเคยอบรมเจริญสมถภาวนาในความเป็นอสุภะจะเป็นบรรพใดก็ตามแต่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ เพราะฉะนั้นในขณะที่สภาพของจิตสงบเกิดขึ้น ก็รู้ชัดว่าเป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง และนามธรรมก็ไม่ใช่ไม่ดับ ต้องประจักษ์ความไม่เที่ยงของนาม และรูปจึงจะละการยึดถือว่าเป็นตัวตนได้ ถ้าพระมหาติสสเถระเคยแต่เจริญอสุภกรรมฐาน โดยนัยของสมถภาวนาแล้วจะไม่รู้ลักษณะของนาม และรูปใดๆ เลย ท่านไม่สามารถที่จะบรรลุความเป็นพระอรหันต์ได้ ถึงแม้ว่าผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามเจริญนึกถึงความเป็นอสุภะของกาย ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ด้วยความต้องการที่จะให้จิตสงบเป็นฌานจิต แต่คนที่ปกติเป็นผู้หลงลืมสติ แม้ว่าจะเห็นทุกๆ วัน คนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง ตัวเองบ้าง นามใดๆ รูปใดๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ที่สติควรจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามของรูป สติก็ไม่เกิด เพราะเหตุว่าความเป็นปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลสเป็นปัจจัยให้หลงลืมสติ
เพราะฉะนั้น ผู้ที่ระลึกถึงความเป็นอสุภะในขณะที่กำลังเห็น ทำให้เกิดความสังเวช สติระลึกได้ลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะฉะนั้นจะเป็นผู้ที่เคยเจริญสมถภาวนานัยของอสุภบรรพ หรือว่าเจริญสติปัฏฐานนัยของอสุภบรรพ ก็ไม่มีความต่างกัน ถ้าผู้นั้นรู้ลักษณะของนาม และรูป อย่างพระมหาติสสเถระ ถึงแม้ว่าท่านจะเคยเจริญอสุภกรรมฐาน กรรมฐานในเรื่องของกระดูกอัฐิมาก่อนก็จริงแต่ท่านจะต้องเจริญสติปัฏฐานรู้ลักษณะของนาม และรูป และเวลาที่เกิดระลึกถึงความเป็นอสุภะของกระดูกฟัน ท่านก็จะต้องรู้ความเป็นนามเป็นรูปในขณะนั้น แล้วจึงจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ ไม่ใช่ว่าเพียงเจริญอสุภกรรมฐานโดยนัยของสมถภาวนาแล้วก็เป็นสมาธิเป็นฌานจิต และก็จะบรรลุอรหันต์ อย่างนั้นไม่ได้ ถึงแม้ว่าในขณะที่ท่านระลึกถึงความเป็นอสุภะ สังวรทางใจเกิดรู้ลักษณะของนามรู้ลักษณะของรูปในขณะนั้น ละคลายกิเลส บรรลุความเป็นอรหันต์ เพราะปัญญาที่รู้ชัดตามความเป็นจริงในขณะนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ที่มีอินทรีย์สังวรนั้นไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นบิดา มารดา เห็นอะไรก็ไม่รู้ อย่างนั้นแล้ว จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เลย การเจริญสติปัฏฐานที่ให้เจริญสติ เนืองๆ บ่อยๆ ทุกขณะ ทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าเป็นในลักษณะนั้นแล้ว ผู้นั้นไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ รับประทานอาหารก็ไม่ถูก ทุกอย่างหมดไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้จริงๆ เพราะฉะนั้นก็ขอให้เข้าใจอินทริยสังวรกับการเจริญสติปัฏฐานให้ถูกต้องด้วยว่า การเจริญสติปัฏฐาน เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังเกิดปรากฏ ตามปกติ ตามความเป็นจริง