จักขุสูตร - ความเป็นผู้เดียวหลีกออก
สำหรับอีกสูตรหนึ่ง ในสังยุตนิกาย นิทานวรรค ราหุลสังยุตต์ จักขุสูตร มีข้อความคล้ายคลึงกัน คือจะขอกล่าวถึงเรื่องของพยัญชนะที่ว่า "เป็นผู้เดียวหลีกออก" ข้อความในจักขุสูตรมีว่า
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ครั้งนั้นท่านพระราหุลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์โดยย่อ ที่ข้าพระองค์ได้สดับแล้ว พึงเป็นผู้ผู้เดียวหลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปแล้วอยู่
ถ้าท่านผู้ฟังคิดว่า ท่านพระราหุลขอกรรมฐานพระผู้มีพระภาค ก็จะได้ทราบว่าพระผู้มีพระภาคจะทรงโอวาทว่าอย่างไร จะเป็นเรื่องของกรรมฐาน เป็นกฎเป็นเกณฑ์อย่างที่ท่านคิดหรือไม่
พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระราหุลว่า ตาเที่ยงไหม หูเที่ยงไหม จมูกเที่ยงไหม ลิ้นเที่ยงไหม กายเที่ยงไหม ใจเที่ยงไหม ทั้ง ๖ ทวารเที่ยงไหม
ซึ่งท่านพระราหุลก็กราบทูลว่า ไม่เที่ยง
พระผู้มีพระภาคก็ตรัสถามว่า สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุข ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรละหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา
ท่านพระราหุลกราบทูลว่า ไม่ควรตามเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ราหุล อริยสาวกผู้ได้สดับ เห็นอยู่อย่างนี้ เป็นปกติไหม เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในโสตะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในกายะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในใจ
ถ้าไม่เห็นแบบนี้ไม่เบื่อ ต้องตามปกติด้วย
ย่อมเห็นอยู่อย่างนี้จึงจะเบื่อ จึงจะหน่าย จึงจะคลายได้
เวลานี้มีท่านผู้ใดคลายความพอใจในภพชาติ ในนาม ในรูปบ้างไหม หรือว่าไปจ้อง จะดูนามนั้น จะดูนามนี้ด้วยความต้องการ นั้นไม่ใช่ลักษณะของการคลาย แต่ว่าลักษณะของการคลาย เป็นเพราะการรู้ชัดตามปกติ จึงคลายได้ ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า จิตหลุดพ้นแล้ว ดังนี้ อริยสาวกนั้นย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
พระผู้มีพระภาคให้ทำอะไรที่ผิดปกติบ้างรึเปล่า ถ้าเป็นการขอกรรมฐาน ลองดูสิ พิจารณาจากพยัญชนะ จากพระโอวาทผู้ประทานท่านพระราหุล เป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่ว่าให้เว้นไม่เจริญสติในขณะนั้นขณะนี้ หรือว่าไม่ได้ทรงตรัสให้ทำอะไรเป็นพิเศษหรือว่าให้ผิดปกติเลย เพราะฉะนั้นก็ขอให้ท่านผู้ฟังคิดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ทราบว่า ท่านเจริญสติแล้วหรือยัง คือปัญญานั้นไม่ใช่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติในชีวิตประจำวัน ก็เป็นเครื่องเตือนให้รู้แล้วว่า ยังไม่ใช่ปัญญา แล้วถ้าท่านต้องการจะรู้ ท่านจะเจริญอย่างไร ท่านก็จะต้องระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามปกติ เริ่มลงมือระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏตามปกติไปเรื่อยๆ จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แล้วก็รู้ชัดยิ่งขึ้น นี่เป็นหนทางเดียว ถ้ามิฉะนั้นแล้วท่านก็จะไม่รู้ชัดสภาพของธรรมตามความเป็นจริงคือตามปกติได้