อนังคณสูตร


    ขอกล่าวถึง มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ อนังคณสูตร มีข้อความว่า

    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ณ ที่นั้น ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า

    บุคคล ๔ พวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก คือ

    บุคคลบางคนในโลกนี้มีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่า เรามีกิเลสในภายใน

    อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้มีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า เรามีกิเลสในภายใน

    บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่า เราไม่มีกิเลสในภายใน

    อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีกิเลส รู้ตามเป็นจริงว่า เราไม่มีกิเลสในภายใน

    บุคคลพวกที่มีกิเลส แต่ไม่รู้ชัดตามเป็นจริงว่ามีกิเลส บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษเลวทราม

    บุคคลพวกที่มีกิเลส แต่รู้ตามเป็นจริงว่ามีกิเลส บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษประเสริฐ

    บุคคลไม่มีกิเลส แต่ไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่าเราไม่มีกิเลสในภายใน บัณฑิตกล่าวว่า เป็นบุรุษเลวทราม

    บุคคลไม่มีกิเลส แต่รู้ชัดตามเป็นจริงว่าไม่มีกิเลสในภายใน บัณฑิตกล่าวว่า เป็นผู้ประเสริฐ

    บุคคลที่ ๑ บุคคลบางคนในโลกนี้มีกิเลส แต่ไม่รู้ตามเป็นจริงว่าเรามีกิเลสในภายใน มีกิเลสกันทั้งนั้นเลย แต่ใครบ้างที่ทราบว่าตนเองมีกิเลสถ้าไม่มีสติ ผู้ที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นผู้เจริญสติเท่านั้น จึงจะรู้ชัดตามความเป็นจริง ถ้าเข้าใจเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานคลาดเคลื่อนก็ผิดอีกแล้ว มีกิเลสแต่ก็ไม่รู้ว่ามีกิเลส อาจจะคิดว่าหมดกิเลสไปแล้วก็ได้ ใช่ไหม เพราะเจริญผิด ไม่ได้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงเลย ก็เข้าใจว่าเป็นนามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจยปริคคหญาณ สัมมสนญาณ อุทยัพพยญาณ ไม่รู้อริยสัจจธรรม เป็นอริยบุคคล โดยที่สติไม่เคยระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงเลย แล้วก็อาจจะเข้าใจผิดคิดว่า ปกติรู้ไม่ได้ แต่ได้เรียนให้ทราบแล้วที่ได้ขอให้ท่านผู้ฟังระลึกอยู่เสมอว่า ปัญญาไม่ใช่ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

    สิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงคือชีวิตปกติทุกๆ ขณะ แต่คนที่มีกิเลสจะรู้ว่าตนเองมีกิเลสก็ต่อเมื่อมีสติ ระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูป ก็จะยิ่งเห็นตนเองนี้ชัดขึ้นว่า มีกิเลสมากมายเหลือเกิน ที่จะต้องชำระขัดออกด้วยการเจริญสติ ด้วยปัญญาที่รู้ชัดเพิ่มขึ้น มากขึ้น จึงจะละคลายได้


    หมายเลข 5503
    2 ส.ค. 2567