รูปที่กายและรูปภายนอกเกิด - ดับ มีสมุฏฐานต่างกัน


    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยคะ ที่ตัวคุณวิชัยมีสัตว์จริงๆ หรือไม่

    อ.วิชัย มี

    ท่านอาจารย์ มีมากตามที่คุณธิดารัตน์กล่าว หรือไม่

    อ.วิชัย มี สัตว์ประเภทต่างๆ ที่เป็นพยาธิต่างๆ

    ท่านอาจารย์ หนอนนี่มีแน่ใช่ไหม หรือแล้วแต่คน สัตว์ตัวเล็กๆ กว่านั้นมี หรือไม่ เพราะว่าบางทีเครื่องขยายนี่จะทำให้เห็นว่า แม้แต่ที่ขนตาก็จะมีสิ่งที่มีชีวิตที่ละเอียด และก็เล็กมาก แต่อย่างไรก็ตาม เราพิจารณาสิ่งที่เราพอมองเห็นดีกว่า และก็ถ้าพูดโดยปรมัตถธรรม ร่างกายนี่เป็นของเรา หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ จอมปลวกข้างนอกเป็นรูป แล้วร่างกายของเรา ...

    ผู้ฟัง เหมือนจอมปลวก

    ท่านอาจารย์ โดยที่ว่ามีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่สมุฏฐานที่เกิดแม้จะต่างกัน แต่ธาตุไม่ได้ต่าง เพราะฉะนั้นรูปที่กายทั้งหมด จะเย็นตรงนี้กับเย็นข้างนอกก็คือธาตุ จะอ่อนจะแข็งตรงนี้ หรือข้างนอก ก็คือธาตุดิน เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจโดยความเป็นสภาพธรรมที่มีสมุฏฐานเกิดแล้วดับ รูปทุกรูปเกิดแล้วก็ดับแต่ว่าสมุฏฐานต่างกัน รูปภายนอกที่ไม่เป็นที่เกิดของจิต ซึ่งภาษาโบราณใช้คำว่า “ที่ไม่มีใจครอง” แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า จะใช้สำนวนอย่างไรก็ตามแต่ แต่ต้องเข้าถึงลักษณะที่แท้จริงของรูป คือรูปที่ไม่เป็นที่เกิดของจิตก็จะเกิดจากอุตุ รูปภายนอกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า จะไม่มีรูปที่เกิดเพราะจิต ไม่มีรูปที่เกิดเพราะกรรม ไม่มีรูปที่เกิดเพราะอาหารเลย แต่มีรูปที่เกิดเพราะอุตุอย่างเดียว ใส่ปุ๋ย หรือดิน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ธาตุต่างๆ ร้อนเย็น ระดับต่างๆ ก็ทำให้รูปภายนอกซึ่งเกิดเพราะอุตุมีสัณฐานต่างกัน ดิน เพชร ต้นไม้ ผลไม้ ดอกไม้ ล้วนแต่เป็นสิ่งซึ่งเกิดเพราะอุตุทั้งนั้น แต่แม้กระนั้นทั้งหมดก็เสมอกันโดยความเป็นธาตุ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ เช่น ข้อความในพระสูตรที่แสดงว่า เวลาที่เขาเผาหญ้า กับเวลาที่เห็นเขาเผาหญ้า เราไม่ได้รู้สึกเลยว่าหญ้านั้นเป็นเรา ฉันใด แข็งตรงนี้ทำไมถึงจะเป็นเรา ในเมื่อก็แข็งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม ปรมัตถธรรมไม่เปลี่ยนเลย รูปเป็นรูป เพียงแต่ว่ารูปที่ตัวเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดจากอุตุ ความเย็น ร้อน เป็นสมุฏฐานก็มี เกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐานก็มี แต่ว่าธาตุดินต้องเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมก็ไม่เปลี่ยนลักษณะ

    เพราะฉะนั้น เรายึดครองรูปที่ตัวเราตั้งแต่เกิดเลยว่าเป็นของเรา ไม่เห็นการแตกสลายไปเลย แต่ความจริงทุกกลุ่มของรูปที่ละเอียดมาก เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่น เมื่อเกิดแล้ว รูปที่เป็นสภาวรูป คือ รูปที่มีลักษณะจริงๆ จะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เร็วแค่ไหน ความไม่เที่ยงของรูป ซึ่งเหมือนกับว่าเห็นสีสันวรรณะที่ไม่ดับเลย จับเมื่อใด กระทบเมื่อใด ก็อ่อน ก็แข็ง เหมือนไม่ได้ดับเลย แต่ความจริงเกิดดับ เพราะฉะนั้น การที่เข้าถึงการเป็นอนัตตาของปรมัตถธรรม ไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูป และที่แสดงว่ามีสัตว์ที่มีชีวิตอาศัยอยู่ในตัว ถ้ารู้ ก็เห็น แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เห็น เหมือนกับว่าไม่มีอะไร

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 22


    หมายเลข 5526
    17 ม.ค. 2567