เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นผลของอกุศลกรรมใช่ไหม


    บางท่านก็ถามว่า ขณะที่เจ็บไข้ได้ป่วย ขณะนั้นเป็นผลของอกุศลกรรม เป็นวิบากใช่ไหม ถูกต้องนะคะ แต่อย่าลืมว่า ไม่ใช่แต่ในเฉพาะขณะที่เจ็บป่วย เห็นขณะใดต้องทราบว่า เป็นผลของอดีตกรรม

    เพราะฉะนั้นชีวิตประจำวันตั้งแต่เช้าจนถึงขณะนี้ ก็เป็นผลของอดีตกรรม ที่ได้กระทำแล้ว ส่วนกรรม คือ หลังจากที่วิบากจิตดับไปแล้ว กุศลจิตหรืออกุศลจิตที่เกิดต่อ ยังไม่ได้ให้ผลทันที โดยไม่มีระหว่างคั่น แต่ต้องอาศัยปัจจัยอื่น เมื่อพร้อมที่จะให้ผลเมื่อไร ก็ได้รับผลทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าท่านผู้ฟังจะฟังเรื่องอะไรก็ตาม ที่กำลังได้ยินในขณะนี้ หรือว่าที่จะได้ยินต่อไป ก็ให้ทราบว่า ถ้าสติระลึกจะรู้ว่า ขณะที่ได้ยินเป็นวิบาก ส่วนจิตซึ่งกำลังรู้เรื่อง อาจจะเป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง และนอกจากจะรู้ว่าเป็นวิบากหรือเป็นกรรม ก็ยังจะต้องรู้ว่าสภาพธรรมนั้น ในขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    เพราะฉะนั้นบางท่านเมื่อได้ฟังเรื่องของกรรม เรื่องของวิบาก เวลาที่มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นกับท่าน สติก็อาจจะระลึกได้ ว่านี่เป็นผลของกรรมของตนในอดีต จึงมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสอย่างนั้นๆ แต่ว่าถ้าไม่ใช่สติปัฏฐานแล้ว วิบากนั้นก็ยังคงเป็นเรา เป็นผู้ที่เห็น เป็นผู้ที่ได้ยินเป็นต้น จนกว่าจะศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้ว ต้องเป็นในขณะนี้จริงๆ ว่าลักษณะที่เป็นวิบากต้องไม่ใช่ตัวตน จึงเป็นวิบาก เป็นสภาพนามธรรม เป็นสภาพรู้ ที่กำลังเห็นหรือกำลังได้ยิน

    เพราะฉะนั้นในขณะที่ฟังนี้เอง สติปัฏฐานสามารถที่จะรู้วิบากจริงๆ คือกำลังเห็นในขณะนี้เป็นสภาพรู้ กำลังได้ยินในขณะนี้ก็เป็นสภาพรู้ เพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ให้ได้ยินเสียงที่กำลังได้ยินในขณะนี้ได้

    เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จริงๆ ว่าพระผู้มีพระภาคทรงมีพระคุณนานัปการ ก็โดยการที่สติเกิดขึ้น และรู้ตามความเป็นจริงว่า พระธรรมที่ทรงแสดงนั้นเป็นความจริง สามารถที่จะพิสูจน์ได้ และในวันหนึ่งๆ นี้ มีวิบากนับไม่ถ้วน เพราะเหตุว่าเห็นตลอดเวลา ได้ยินด้วย ได้กลิ่นด้วย ลิ้มรสด้วย รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายด้วย แล้วก็มีกุศลจิต และอกุศลจิตเกิดต่อจากวิบาก ไม่ใช่แต่เฉพาะในชาตินี้ ซึ่งยังไม่ค่อยจะได้พิจารณาว่ามีวิบากอะไรบ้าง และมีกุศลกรรม อกุศลกรรมอะไรบ้าง

    เพราะฉะนั้นย้อนถอยหลังไป ทุกท่านก็คงจะต้องเคยเกิดกันมานับชาติไม่ถ้วน ถ้าจะถอยไปจนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ประมาณสัก ๒,๕๐๐ กว่าปีที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดงพระธรรม และทรงดับขันธปรินิพพาน แต่ละท่านก็ต้องเคยเกิดกันมาแล้วในชาติต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งถ้าจะย้อนไปเพียง ๒,๕๐๐ กว่าปีก็ไม่มากชาติเท่ากับกัปๆ หรือแสนโกฏิกัปป์ คือ ก็คงจะมีสัก ๒๐๐ - ๓๐๐ ชาติ แล้วแต่ว่าในชาติหนึ่งๆ นั้นจะมีอายุมากน้อยเท่าไร เพราะฉะนั้น บุคคลในครั้งที่พระผู้มีพระภาคพึ่งจะปรินิพพาน ก็จะต้องเจริญสติปัฏฐาน ตามยุคตามสมัย ตามกาล ตามเหตุการณ์ ซึ่งเกิดขึ้นกับแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละบุคคลในที่นี้ ไม่สามารถที่จะย้อนระลึกถึงอดีตชาติได้ว่าเคยเกิดที่ไหน เคยฟังพระธรรม หรือว่าสติเคยระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมในเหตุการณ์ไหนบ้างก็จริงนะคะ แต่การศึกษาเรื่องราวในอดีต ซึ่งทุกท่านก็จะต้องเคยเป็นชาติหนึ่งชาติใดของท่าน ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน แต่สำหรับผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา มีเหตุปัจจัยคืออุปนิสสยปัจจัยที่ได้สั่งสมมา ทำให้มีความสนใจที่จะศึกษาพระธรรม ก็คงจะเคยได้ยินได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงในอดีตมาแล้ว


    หมายเลข 5610
    25 ม.ค. 2567