อินทริยปัจจัยไม่พ้นจากสภาพที่เป็นนามธรรม หรือ รูปธรรม
สำหรับการศึกษาเรื่องของปัจจัยทุกปัจจัย และธรรมทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็เพื่อที่จะให้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติตามความเป็นจริง ซึ่งสามารถจะพิสูจน์ได้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นความจริงอย่างนั้นหรือไม่ แม้อินทรียปัจจัยก็ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันหรือสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ทางใจในขณะนี้เอง อาหารปัจจัยก็โดยนัยเดียวกัน คือ เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจฉันใด อินทรียปัจจัยก็ต้องเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏซึ่งเป็นนามธรรมและรูปธรรมนั่นเอง
สภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏ ที่จะพ้นจากลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมไม่มีการที่จะรู้ว่าเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมถูกต้องไหมว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ก็ต่อเมื่อมีสภาพธรรมในขณะนี้ปรากฏ แล้วสติไม่ลืมที่จะระลึกเพื่อที่จะรู้ว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นลักษณะของนามธรรม หรือว่าเป็นลักษณะของรูปธรรม จึงไม่ใช่เราและไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นการพิสูจน์ธรรมนี้ สามารถที่จะกระทำได้ ศึกษาได้ทุกขณะ เพราะเหตุว่าไม่มีสักขณะหนึ่งขณะใดซึ่งสภาพธรรมจะหยุดเกิด เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมเกิดขึ้นปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
แต่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมทั้งปวง ได้ทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างว่าสภาพธรรมใดเป็นอินทรียะคือ อินทรีย์คือ เป็นใหญ่ เป็นปัจจัยแก่สภาพธรรมอื่น ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดงโดยละเอียด ท่านผู้ฟังก็คิดว่า มีเราอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นรูปแต่ละรูปที่ประชุมรวมกันเป็นกลุ่มก้อน
เพราะฉะนั้นตราบใดที่รูปยังประชุมรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็เห็นว่าเป็นเราและกลุ่มก้อนนี้ ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดนามธรรม เช่นการเห็น ไม่ได้อยู่นอกตัว ไม่ได้อยู่นอกกาย การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกก็อยู่ที่ตัวทั้งหมด เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างตามความเป็นจริง จึงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน
เพราะฉะนั้นการที่จะละคลายการที่จะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ก็โดยการที่ศึกษาโดยละเอียดถึงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งแตกย่อยออกได้โดยละเอียด เป็นนามธรรมแต่ละชนิดและเป็นรูปธรรมแต่ละชนิด