ผู้เจริญสติสามารถที่จะรู้ความเป็นปัจจัยของธรรมได้
คราวที่แล้วดิฉันก็ได้เรียนให้ทราบไว้ถึงการที่จะต้องรู้ถึงปัจจัย เมื่อรู้ลักษณะของนาม และรูปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้ว ยังจะต้องพิจารณามากขึ้น เพิ่มขึ้น และปัญญาก็รู้ชัด รู้ละเอียด รู้ตรง ตามที่ได้ทรงแสดงไว ้ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยใดๆ ที่ท่านเคยศึกษามหาปัฏฐานแล้ว ผู้เจริญสติ ปัญญารู้ชัดในขณะนั้นถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะว่าความแหลมคมของปัญญาทำให้รู้ลักษณะที่ต่างกันของนาม และรูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจมากขึ้น เพราะว่าท่านผู้นั้นประจักษ์แล้วว่า เห็นไม่ใช่ขณะเดียวกับจิตที่ชอบหรือไม่ชอบ ได้ยินไม่ใช่ขณะเดียวกับจิตที่ชอบหรือไม่ชอบ ลักษณะของนามธรรมคนละอย่าง ท่านไม่มีการที่จะต้องหวั่นไหว พิจารณาเฉพาะรูปนั้น ทางนั้นจะต้องดึงมาไว้ที่นี่ ทางนี้จะต้องจดจ้องเฉพาะที่โน่น ซึ่งนั่นเป็นลักษณะของตัวตน เป็นลักษณะของความหวั่นไหวความไม่รู้ชัดในลักษณะของนาม และรูป ยังไม่ใช่การรู้ลักษณะของนาม และรูปโดยทั่ว แต่ว่าผู้ที่รู้ทั่วนั้น แม้เพียงสภาพของความพอใจเกิดขึ้น จะเป็นทางตาหรือทางหูก็ตาม ท่านทราบถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความพอใจ แม้ในขณะนั้น ปกตูปนิสสยปัจจัย ตรงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ หรือแม้ปัจจัยอื่นๆ ก็ได้ ถ้าท่านศึกษามหาปัฏฐาน ท่านก็จะทราบได้ อย่างเวลาที่รู้ลักษณะว่า สภาพที่เห็นเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง สภาพที่กำลังปรากฏได้ยินเป็นสภาพรู้ทางหูชนิดหนึ่ง แต่ว่าถ้ารู้ถึงอรรถะความหมายของเสียงด้วย ทำให้เกิดความพอใจหรือความไม่พอใจแล้ว เป็นปัจจัยให้เกิดจิตที่ชอบหรือไม่ชอบเกิดขึ้น ในขณะนั้นจะรู้ได้ไหมว่าเป็นเพราะปัจจัยอะไรจึงทำให้จิตนั้นเกิดขึ้น ผู้เจริญสติก็สามารถจะรู้ได้ในขณะนั้นเอง
ในคราวที่แล้วดิฉันได้ยกตัวอย่างวัตถุ ๒ อย่าง จะเป็นแก้ว หรือว่าจะเป็นดินสอ หรือว่าจะเป็นปากกา จะเป็นอะไรก็ได้ ที่รูปร่างสัณฐานหรือสีต่างกัน เป็นเหตุให้เกิดโลภะได้ เป็นเหตุให้เกิดโทสะได้ แม้เพียงเห็น แต่เพราะเหตุว่าเป็นการรู้อรรถะรู้ความหมาย เห็นลวดลาย เห็นสีสันที่ต่างกัน ก็ทำให้เกิดโลภมูลจิตได้ โทสมูลจิตได้ ซึ่งผู้เจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เป็นผู้ไม่รู้ ในวันหนึ่งๆ ปัญญาไม่เพิ่มขึ้นเลย ไม่รู้ปัจจัยว่าเพราะเหตุใดโลภะจึงได้เกิดขึ้น โทสะจึงได้เกิดขึ้น แต่ว่าต้องเป็นผู้ที่เจริญสติเจริญปัญญา และรู้ชัดถึงปัจจัย ซึ่งปัจจัยก็จะตรงตามความเป็นจริงที่ท่านผู้ตรัสรู้แล้วได้ทรงแสดงไว้อย่างละเอียดไม่มีคลาดเคลื่อนกันเลย หรือแม้แต่เวลาที่ท่านนั่งอยู่ตามปกติ นอนอยู่ตามปกติ ได้ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน แต่ว่าไม่เคยตั้งอกตั้งใจเตรียมตัวล่วงหน้าไว้เลยว่าจะทำวิปัสสนา หรือว่าจะเจริญสติ แล้วท่านก็เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานโดยการฟัง ท่านไม่ได้ระลึกหรือคิดว่าท่านจะทำวิปัสสนา แต่ทั้งๆ ที่นั่งตามปกติ ได้ยินเกิดขึ้น ธรรมชาติธรรมดา เป็นของที่บังคับบัญชาไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่ได้เลย เกิดขึ้นแล้วเพราะมีเหตุปัจจัย ถ้าท่านรู้ว่าเป็นนามธรรม ท่านก็ย่อมจะรู้ถึงวิปากปัจจัย นี่เป็นวิบากทำให้กระทบหรือสิ่งนี้เกิดขึ้นปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา กำลังนั่งอยู่ นอนอยู่ เดินอยู่ ยืนอยู่ เกิดการระลึกได้ว่า ที่กำลังเห็นนี้ก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง มีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ต้องไปตั้งใจว่าจะเห็น ไม่ต้องไปตั้งใจไว้จะได้ยิน นั่งอยู่ตามธรรมดาได้ยินมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้นปรากฏ แล้วก็จะได้ยินอะไร จะเห็นอะไร อยู่ที่ไหน ท่านก็จะรู้ถึงวิปากปัจจัยซึ่งทำให้ท่านใส่ใจระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏเป็นปัจจุบันเพิ่มขึ้น ไม่เอื้อมไปถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด เพราะเหตุว่าท่านรู้ถึงปัจจัยของสิ่งที่เกิดปรากฏในขณะนั้นว่า ท่านหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่เป็นชีวิตจริงๆ ตามปกติที่ท่านจะต้องรู้ตามความเป็นจริง ตรงตามพระไตรปิฎก ซึ่งจะทำให้ท่านเพิ่มการละคลาย ด้วยปัญญาที่รู้ชัดเพิ่มขึ้นในลักษณะของนาม และรูปที่ปรากฏอยู่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ต้องเป็นชีวิตจริงๆ แล้วปัญญาก็ต้องรู้เพิ่มขึ้นจริงๆ ด้วย กว่าปัญญาจะคลายเพิ่มขึ้นๆ แล้วก็ญาณจะสมบูรณ์ขึ้น แต่ละขั้นตามปกติได้ ไม่ใช่ว่าไปกั้นไว้ ไปจ้องไว้ ไปห้ามไว้ ให้รู้นั่นนิด ให้รู้นี่หน่อย อย่าให้รู้ให้หมด อย่าให้รู้ให้ทั่ว อย่างนั้นไม่ได้ ไม่มีทางที่จะทำให้ละคลายได้เลย