ทุกขลักษณะ - อนัตตลักษณะ ไม่ปรากฏเพราะเหตุใด
ที่ว่า ทุกขลักษณะไม่ปรากฏ เพราะไม่มนสิการถึงการบีบคั้นเนืองๆ และ อิริยาบถปิดบังไว้ อนัตตลักษณะไม่ปรากฏ เพราะไม่มนสิการถึงการแยกธาตุต่างๆ และเพราะฆนะปิดบังไว้
เมื่อพิจารณามนสิการความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแล้ว และสันตติขาดไป อนิจจลักษณะย่อมปรากฏตามความเป็นจริง
เมื่อพิจารณามนสิการถึงความบีบคั้นเนืองๆ และเพิกอิริยาบถเสียได้ ทุกขลักษณะก็ปรากฏตามความเป็นจริง
เพราะเหตุว่าที่กายมีอะไรนอกจากลักษณะที่เป็นนามลักษณะที่เป็นรูป ที่กายมีอย่างนี้ แล้วก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้งนั้น ทั้งนามทั้งรูป เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มนสิการความเกิดดับ ก็ไม่ประจักษ์อนิจลักษณะของสังขารธรรมคือนาม และรูป ที่ว่าไม่ประจักษ์ทุกขลักษณะ ก็เป็นเพราะเหตุว่าไม่มนสิการถึงการบีบคันเนืองๆ การบีบคั้นเนืองๆ ที่นี่หมายความถึง การเกิดขึ้น และดับไป นี่คือทุกข์ ไม่มนสิการอันนี้ ไม่มนสิการในการเกิด และก็ดับ จึงไม่ประจักษ์ว่าเป็นทุกขลักษณะ ไตรลักษณะการเกิดดับของนาม และรูป
อีกประการหนึ่งเพราะอิริยาบถปิดบังไว้ เมื่อพิจารณาความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปแล้ว และสันตติขาดไป อนิจจลักษณะย่อมปรากฏตามความเป็นจริง
เมื่อมนสิการถึงความบีบคั้นเนืองๆ และเพิกอิริยาบถเสียได้ ทุกขลักษณะก็ปรากฏตามความเป็นจริง
ถ้าไม่เพิกอิริยาบถเสีย จะปรากฏลักษณะของรูปแต่ละลักษณะ ลักษณะของนามแต่ละชนิด ได้ไหม ยังเกาะกุมรวมกันอยู่ เป็นอิริยาบถทรงอยู่ตั้งอยู่อย่างนั้น ไม่เพิกออกจะปรากฏลักษณะของรูปแต่ละชนิดที่กายที่ทรงอยู่ที่ตั้งอยู่รวมกันได้ไหม เมื่อไม่เพิกอิริยาบถ ลักษณะของรูปแต่ละชนิดลักษณะของนามแต่ละชนิดไม่ปรากฏแล้ว จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าที่เกิดดับนั้นคือลักษณะของรูปแต่ละรูปเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ในเรื่องของทุกขลักษณะนี้ก็คงจะเห็นได้ว่า ถ้ายังไม่เพิกอิริยาบถ ปรากฏเป็นลักษณะของรูปแต่ละชนิด นามแต่ละชนิดแล้ว จะไม่ประจักษ์ความเป็นทุกข์คือการเกิดขึ้น และดับไปของรูป และนามนั่นเอง ลักษณะที่เป็นทุกข์คือการเกิดขึ้น และดับไป การบีบคั้นก็คือเกิดแล้วก็ดับเกิดแล้วก็ดับเกิดแล้วก็ดับอยู่นั่นเอง จึงเป็นทุกข์
พยัญชนะก็ยังแสดงความชัดเจนอีก ในเรื่องของอนัตตลักษณะ มีข้อความว่า
เมื่อพรากธาตุต่างๆ ออกจากกัน และพรากฆนะได้ อนัตตลักษณะก็ปรากฏตามความเป็นจริง
ถ้ายังไม่พรากธาตุต่างๆ ลักษณะต่างๆ ออกจากกัน ออกเป็นแต่ละธาตุ แต่ละรูปแล้ว อนัตตลักษณะก็จะไม่ปรากฏเลย
คำว่า ไตรลักษณ์ ก็บอกแล้วว่า เป็นลักษณะของสังขารธรรม คือการเกิดขึ้น และดับไป สภาพที่เกิดดับนั้นเป็นทุกข์ แต่ที่ปิดบังไว้ก็เพราะเหตุว่าไม่มนสิการถึงความเกิดขึ้น และดับไป สันตติก็บัง เวลาที่ไม่เพิกอิริยาบถหรือว่าไม่พิจารณาถึงการเกิดดับซึ่งเป็นอาการบีบคั้น การบีบคั้นที่นี่หมายความถึงการเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็ถ้าไม่พรากธาตุต่างๆ ออกจากกัน อนัตตลักษณะก็ไม่ปรากฏ ถ้าเห็นว่ารวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนอยู่ไม่ว่าจะเป็นรูป ถ้ารูปหลายๆ รูป รวมกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน ไม่ปรากฏลักษณะที่ต่างกันเป็นแต่ละชนิดแล้ว จะพรากฆนะคือการรวมเป็นกลุ่มก้อนออกไม่ได้ เมื่อพรากออกไม่ได้ อนัตตลักษณะก็ไม่ปรากฏ ก็ยังคงยึดถือว่าเป็นตัวตนอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้นไตรลักษณ์ก็ไม่ได้แยกจากกันเลย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นลักษณะความเกิดขึ้น และดับไปของนาม และรูป แต่ว่าปิดบังไว้เพราะไม่มนสิการอย่างไร ถ้าไม่พรากธาตุต่างๆ ออกจากกัน ไม่พรากลักษณะของรูปแต่ละรูป ไม่พรากลักษณะของนามแต่ละชนิดออกแล้ว อนัตตลักษณะจะไม่ปรากฏเลย ก็ยังคงรวมกันเป็นตัวตน เป็นกลุ่มเป็นก้อนนั่นเอง ไม่ว่าจะพิจารณารูป ถ้าลักษณะของรูปซึ่งเป็นธาตุแต่ละชนิด ไม่แยกพรากออกจากกันแล้ว ก็ยังคงรวมกันเป็นตัวเป็นตน ไม่ปรากฎความเป็นอนัตตา หรือว่านามก็เหมือนกัน นามเห็นก็อย่างหนึ่ง นามได้ยินก็อย่างหนึ่ง คิดนึกก็อย่างหนึ่ง สุขก็อย่างหนึ่ง เป็นของธรรมดาที่มีลักษณะต่างกัน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยต่างกัน แล้วก็ดับไป ถ้าไม่พรากลักษณะที่ต่างกันออกเป็นชนิดๆ เป็นประเภทๆ แล้ว อนัตตลักษณะก็ไม่ปรากฏ