ไม่ว่าจะเจริญบรรพใด ก็เพื่อละอภิชฌา โทมนัสในโลก
ส่วนต่างๆ ของกายเป็นปฏิกูลทั้งนั้นตามสภาพของความเป็นจริงแล้ว
บางท่านจะสงสัยว่า ขณะนี้ท่านกำลังเจริญสติปัฏฐานบรรพใด กำลังเจริญกายานุปัสสนา หรือว่ากำลังเจริญเวทนานุปัสสนา หรือว่ากำลังเจริญจิตตานุปัสสนา หรือว่ากำลังเจริญธัมมานุปัสสนา นี่เป็นข้อที่ข้องใจกันอยู่ ให้ทราบว่าไม่ว่าสติจะระลึกที่กาย ละอภิชฌาโทมนัสในโลก ได้แต่ขันธ์ ๕ ไม่ว่าจะระลึกที่เวทนาคือความรู้สึก ละอภิชฌา และโทมนัสในโลก โลกคือขันธ์ ๕ ด้วยความรวดเร็วเหลือเกิน เป็นต้นว่าอานาปานบรรพ สำหรับผู้ที่เคยเจริญสมาธิ จิตสงบเป็นขั้นๆ เกิดปีติเกิดสุข ถ้าสติของผู้นั้นระลึกรู้ลักษณะของกาย ก็รู้เฉพาะลมหยาบหรือละเอียด โดยนัยที่เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน แต่ถ้าในขณะนั้นระลึกรู้ลักษณะของเวทนาว่าความสุขในขณะนั้นประกอบด้วยปิติ หรือว่าปราศจากปิตินั่นเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถ้าระลึกรู้ลักษณะของจิตที่เป็นมหัคคตะ ในขณะนั้นเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน รวดเร็วมากทีเดียว เพราะฉะนั้นผู้เจริญสติปัฏฐานไม่ใช่จำกัดว่าจะเจริญแต่เฉพาะกายอย่างเดียว ให้รู้รูปอย่างเดียวไม่รู้อย่างอื่น นั่นไม่ถูกเลย ไม่เป็นการเจริญปัญญา การเจริญปัญญานั้น ไม่ว่าขณะนั้นสติจะระลึกที่ลม เกิดความรู้สึกยินดีได้ไหม โสมนัสพอใจได้ เมื่อเกิดโสมนัสพอใจ สติเจริญระลึกลักษณะของเวทนาความรู้สึกโสมนัสยินดีนั้นได้ ผู้เจริญสติต้องระลึกรู้ ไม่ใช่ว่าทิ้งไปหมด ให้กลับมาจดจ้องอยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียว ถ้าเป็นโดยลักษณะนั้นแล้วเป็นสมถภาวนา ไม่ใช่เป็นการเจริญสติ ถ้าเป็นการเจริญสติปัฏฐานจะก็รวดเร็วมาก ชำนาญมาก ไม่ว่านามใดปรากฏหลังจากที่ระลึกรู้ลักษณะของรูปแล้ว สติก็ระลึกรู้ลักษณะของนามนั้น ของความรู้สึกนั้น ของจิตนั้นได้