ผู้ที่มีปัญญา แม้เมื่อจะสิ้นชีวิตก็ยังเป็นประโยชน์
สำหรับเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน ทุกท่านก็คงจะเห็นว่าเป็นประโยชน์ เพราะเหตุว่าในขณะนั้นไม่ใช่หมกมุ่นเพลิดเพลินไปในเรื่องของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ด้วยการที่เคยเป็นไปกับความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน เพราะสติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของรูปของนามตามความเป็นจริง จะเห็นได้ว่าการเจริญสตินั้นเป็นประโยชน์ทุกเมื่อ ทุกสถานที่ไม่ว่าจะเป็นในที่ใดก็ตาม มีท่านผู้ใดทราบไหมว่า ท่านจะสิ้นชีวิตลงในขณะไหน ในสถานที่ใด ที่โรงพยาบาลได้ไหม เจริญสติปัฏฐานที่โรงพยาบาลได้ไหม ที่โรงพยาบาลมีคนมาก คนไข้มาก หมอมาก พยาบาลมาก เป็นที่ที่ท่านจะเจริญสติปัฏฐานได้ไหม ถ้าท่านคิดว่าการเจริญสติปัฏฐานนั้นท่านจะต้องอยู่ตามลำพังในห้องเล็กๆ เท่านั้นเอง ออกมาก็ไม่ได้ เห็นใครก็ไม่ได้ ถ้าเป็นโดยลักษณะนั้นท่านจะเป็นผู้ประมาทไหม เพราะเหตุว่าผู้ที่มีปัญญานั้น แม้เมื่อจะสิ้นชีวิต ก็ยังเป็นประโยชน์ หมายความว่าถ้าเป็นผู้ที่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ เนืองๆ บ่อยๆ ท่านจะสิ้นชีวิตที่โรงพยาบาลมีผู้คนมาก ไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพังเห็นคนเดียว แต่เพราะเหตุว่าท่านเจริญสติเป็นปกติ ปัญญาย่อมเป็นประโยชน์ได้แม้ในขณะที่จะสิ้นชีวิต แล้วท่านจะทราบได้ยังไงว่าท่านจะสิ้นชีวิตที่ไหน ที่กลางถนนสิ้นชีวิตได้ไหม มีรถยนต์มาก มีผู้คนข้ามถนนมาก มีร้านขายต่างๆ สารพัดอย่าง มีเสียงสารพัดเสียง ถ้าท่านเป็นผู้ที่ไม่มีปกติเจริญสติแล้ว ใกล้จะตายหรือว่าในขณะที่จะสิ้นชีวิต ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร สติจะเกิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งที่ท่านจะต้องเจริญสติปัฏฐานจนเป็นปกติไม่ว่าท่านจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม เพราะเหตุว่าท่านไม่ทราบว่าท่านจะสิ้นชีวิตลงที่ไหน แต่ว่าถ้าท่านได้เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ เจริญปัญญาแล้ว แม้ในขณะที่จะสิ้นชีวิตปัญญานั้นก็ยังเป็นประโยชน์ได้ เวลาขับรถยนต์สิ้นชีวิตได้ไหม ได้ ถ้าท่านเป็นผู้ที่ไม่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติแม้ในขณะที่ขับรถยนต์ เวลาที่ท่านจะสิ้นชีวิต ปัญญาจะเกิดได้ไหม เกิดไม่ได้ถ้าท่านไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ แต่ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ ปัญญาก็ย่อมสามารถจะเกิดได้แม้ในขณะที่ท่านจะสิ้นชีวิตในขณะที่กำลังขับรถยนต์ ปัญญาเกิดได้ไหม ถ้าปัญญาเกิดได้เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่าเคยเจริญเป็นปกติแม้ในขณะนั้นปัญญาจึงจะเกิดได้ ไม่จำกัดเลย กำลังรับประทานอาหารอร่อยๆ สิ้นชีวิตได้ไหม ได้อีกเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ ปัญญาจะเกิดในขณะนั้นได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่ถ้าท่านเป็นผู้มีปกติเจริญสติ ไม่ว่าจะนั่งที่ไหน รับประทานอาหารที่ไหน เห็นอะไร ได้ยินเสียงอะไร ได้กลิ่นอะไร ลิ้มรสอะไร ก็เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ แล้วแม้ว่าท่านจะสิ้นชีวิตในขณะที่รับประทานอาหารอร่อยๆ ปัญญาก็ย่อมจะเป็นประโยชน์แม้ในขณะที่จะสิ้นชีวิต นี่ก็เป็นเหตุเป็นผลอยู่ซึ่งเลือกไม่ได้เลย เมื่อความตายเลือกไม่ได้ ทำไมจึงจะยับยั้งการเจริญสติปัฏฐานซึ่งควรจะเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติ
ในพระไตรปิฎก ท่านก็คงจะเคยได้ยินพยัญชนะที่ว่า ให้เร่งรีบหรือว่ามีความเพียรในการเจริญสติปัฏฐาน ซึ่งไม่ได้หมายความว่า ให้ท่านรีบไปสู่สถานที่หนึ่งสถานที่ใด นั่นยังเร่งรีบน้อยไปใช่ไหม กว่าจะไปถึงก็ไม่ใช่เร่งรีบเสียแล้ว แต่ว่าถ้าเร่งรีบจริงๆ แล้ว ทุกขณะที่ระลึกได้ในขณะนี้ เหมือนบุคคลที่ถูกไฟไหม้ศีรษะ เป็นผู้ที่ไม่ประมาท โดยการที่ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เห็นอะไร สติก็ระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปที่ปรากฏตามปกติตามความเป็นจริงได้ ทุกบรรพเป็นปกติตั้งแต่ลมหายใจ จนกระทั่งถึงอสุภะ อสุภะก็เคยเห็นกันใช่ไหม ซากศพต่างๆ ตัวท่านเองไม่ผิดกันเลย เพียงแต่ยังไม่เปิดออกมาให้เห็น ไม่มีอะไรที่ต่างกันเลยกับอสุภะ แต่ยังปิดเอาไว้ แต่ว่าถ้าผู้ใดระลึกได้ในความเป็นอสุภะ ผู้นั้นก็ย่อมระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปที่ปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นเครื่องระลึกที่เกี่ยวกับกายแม้แต่การระลึกถึงอสุภะก็ระลึกที่กาย เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน