การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่เป็นการให้เจริญสมถะ
สำหรับในมหาสติปัฏฐาน ควรจะได้สังเกตพยัญชนะที่ว่า ไม่ใช่การเจริญสมถะ เพราะสติจะต้องระลึกรู้ลักษณะของกาย ของเวทนา ของจิต ของธรรม ถึงแม้ว่าในหมวดของอานาปานบรรพในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็มีข้อความว่า
ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง ย่อมอยู่ อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่ากายมีอยู่ ก็เพียงสักว่าความรู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น เธอเป็นผู้อันตัณหา และทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
ทุกบรรพในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่ว่าจะเป็นอานาปานบรรพ ปฏิกูลมนสิการบรรพ ธาตุมนสิการบรรพ นวสีวสิการบรรพ ซึ่งท่านไม่ควรไขว้เขวคิดว่าจะต้องเจริญสมถะจนกระทั่งได้ฌานเสียก่อน เพราะข้อความบอกไว้ว่า พิจารณาเห็นกายในกาย เรื่องของฌานไม่ใช่เรื่องของการพิจารณาเห็นกายในกาย แต่เป็นเรื่องให้เกิดนิมิต มีความจงใจที่จะให้สงบ ไม่ใช่เป็นการรู้ลักษณะของรูปที่ปรากฏ แล้วละอภิชฌาโทมนัส อย่าทิ้งข้อความในพยัญชนะที่ว่า พิจารณาเห็นกายในกาย ไม่ว่าจะเป็นในบรรพใด ก็เห็นว่าเป็นกาย ไม่ใช่ไปให้เกิดนิมิตแล้วก็เป็นสมถะ