การเจริญสติปัฏฐานเป็นธรรมดา ไม่ต้องไปสร้าง ไม่ต้องไปทำ


    ความจริงก็ธรรมดาปกติทุกอย่าง เรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าไม่ใช่เป็นเรื่องต้องไปสร้าง ไม่ใช่เป็นเรื่องต้องไปทำ แต่ถ้าขณะใดที่ใครคิดจะไป ไม่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังเกิดปรากฏแล้ว ก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้ชัดในลักษณะของสิ่งที่เกิดปรากฏเพราะเหตุปัจจัยได้เลย ไม่มีหนทางเลย ไปไปทำไม ไปด้วยความต้องการหรือเปล่า ไปด้วยความต้องการ แล้วระลึกรู้อะไร ไม่ใช่นามไม่ใช่รูปทางตาหูจมูกลิ้นกายใจตามปกติเลย ไปบังคับ ไปทำ ไปสร้างให้เกิดปวดเมื่อยจนกระทั่งทนไม่ไหวแล้วถึงจะเปลี่ยนบ้าง แต่นั่นไม่มีในพระไตรปิฎก ที่จะให้เจริญสติปัฏฐานอย่างนั้น ไม่มีเลยที่จะให้เอาทุกข์มาทับถมตนเองผู้ไม่มีทุกข์ ไปนั่งเมื่อยๆ ไม่มี เพราะเหตุว่าทุกขลักษณะไม่ใช่อิริยาบถที่นั่งจนเมื่อย นอนจนเมื่อย ยืนจนเมื่อย เดินจนเมื่อย เพราะเหตุว่าปัญญาจะต้องรู้ชัด ในลักษณะของนามรูป เพิกอิริยาบถ แล้วก็ไม่ใช่ว่าไปเห็นว่าเป็นทุกข์ก็ต้องเปลี่ยน แต่ว่า ทุกข์นี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นปกติทุกอย่าง เพราะฉะนั้นทุกคนที่เจริญสติปัฏฐาน ไม่จำเป็นต้องนั่งให้เมื่อย นอนให้เมื่อย เดินให้เมื่อย นอนให้เมื่อยเลย ท่านจะลุกไปไหนทำอะไรมีเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นทุกอย่างแล้ว ถ้าจิตโลภะเกิดสติระลึกรู้ได้ ถ้าท่านจะทำอะไรด้วยโลภะ สติระลึกรู้ ถ้าสติเกิดต่อไปไม่ใช่รู้แต่เฉพาะโลภะแล้ว นางมมีปรากฏรูปก็มีปรากฏ เพราะสติระลึกลักษณะของนามของรูปต่อไป สมมติว่า ท่านจะแต่งตัวหวีผมให้เรียบร้อย ระลึกได้เป็นโลภะใช่ไหม หมดแล้ว สติระลึกต่อไปเป็นอ่อนเป็นแข็งที่กระทบสัมผัสที่หวีแล้ว เป็นสีที่ปรากฏ หรือว่าเป็นเสียงที่กระทบปรากฏทางหูแล้ว ถ้ามีสติระลึกรู้แล้ว จะมีลักษณะของนามของรูปสืบต่อกันไปเรื่อยๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ท่านกลัว หวั่นไหว ไม่ให้โลภะเกิดขึ้น หรือว่าไม่ใช่ต้องไปนั่งไปทรมานอะไรเลย เป็นปกติธรรมดา แต่เริ่มรู้ลักษณะของนามของรูปตามปกติ ที่จะแยกโคทั้งตัวออกเป็นส่วนหนังคืออายตนะภายนอก และส่วนเนื้อล่ำเนื้อต่างๆ ที่เป็นอายตนะภายใน ที่จะเป็นจากความไม่ใช่ตัวตนเป็นอนัตตลักษณะ ความเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปซึ่งเป็นทุกข์ ไปนั่งทรมานให้เกิดทุกข์จะได้เห็นทุกข์ แต่ว่าทุกข์ที่นี่เป็นความเกิดขึ้น และดับไปของนามรูปตามปกติ ซึ่งจะต้องเริ่มจากการพิจารณารู้ลักษณะของนามของรูปเสียก่อน เป็นอิสระจริงๆ ไม่ได้มีความต้องการที่จะไปสร้างอะไรขึ้น ระลึกเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เป็นอิสระแล้ว ไม่ใช่ทำไปด้วยความต้องการ แต่ว่าเป็นปกติธรรมดา ระลึกเมื่อไหร่ก็รู้ลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏเมื่อนั้น แต่ตรงกันข้าม ถ้าไปด้วยความต้องการ ก็เป็นทาสของความต้องการ ถ้าเจาะจงที่จะรู้เฉพาะนามนั้นรูปนี้ ก็เป็นทาสของความต้องการ นามนั้นรูปนี้อีกโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นทาสของความต้องการ ไม่ได้เป็นอิสระเลย จ้องที่จะรู้ ไม่ให้ไปที่ไหนเลย แต่ตรงกันข้ามสติเป็นสภาพที่ระลึกรู้ ทางตาก็ได้ จมูกก็ได้ ลิ้นก็ได้ กายก็ได้ ใจก็ได้ เป็นเรื่องของสติจริงๆ


    หมายเลข 5775
    1 ส.ค. 2567