เรื่องราวทั้งหมดเพราะมีการรู้สิ่งปรากฏแล้วปรุงแต่ง
ขณะนี้ทุกคนลองดู มีดอกไม้ที่บูชาพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าคืนนี้ฝันจะเหมือนหรือไม่เหมือนเปี๊ยบ เหมือนเป๊ะ แต่สามารถที่จะนึกถึงได้ แต่สิ่งต่างๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้จะไม่เหมือนเลย เพราะฉะนั้น จะแสดงให้เห็นว่าขณะที่กำลังเห็นนี้เอง มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ลักษณะที่ปรากฏทางตานั้นเป็นสภาพธรรมที่เราใช้คำว่า “รูปารมณ์” เป็นรูปสีสันวรรณะต่างๆ ที่สามารถกระทบกับจักขุปสาทเกิดแล้วดับแต่สัญญาจำ การเกิดดับซึ่งสืบต่อเป็นรูปร่างสัณฐานเร็วมาก แต่เพียงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเช่น ขณะนี้จำว่าเป็นดอกบัว และก็จำว่าเป็นดอกไม้อื่น เพราะฉะนั้นเพียงสิ่งที่ปรากฏสีก็คล้ายคลึงกัน สีชมพูอย่างเดียวกันก็ได้ แต่ความจำละเอียดจนถึงว่าสีนี้ ชมพูอย่างนี้เป็นดอกบัว อีกสีหนึ่งแม้ว่าจะคล้ายคลึงกันก็ไม่ใช่ดอกบัว นี่คือความละเอียดของความจำซึ่งเกิดกับจิตทุกขณะ และก็สืบต่อจนกระทั่งในความฝันก็จะฝันถึงดอกบัว แต่ความละเอียดจะไม่เหมือนกับสิ่งที่ปรากฏทางตา
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าเราเอาเรื่องราวทั้งหมดมาจากสิ่งที่ปรากฏ คือความนึกคิดเกิดสืบต่อทรงจำอย่างรวดเร็วว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเท่านั้นไม่พอ ปรุงแต่งต่อไปอีกว่าชอบหรือไม่ชอบ แค่เห็นสีสันวรรณะต่างๆ และก็ยังทรงจำในความละเอียดเป็นดอกไม้ลักษณะต่างๆ ชื่อต่างๆ และยังเกิดปรุงแต่งเป็นชอบไม่ชอบอีก เพราะฉะนั้นรวดเร็วขนาดไหนที่มีความทรงจำในการที่เหมือนกับว่าสภาพธรรมที่ปรากฏไม่ได้ดับเลย และก็มีเราทั้งหมดที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง แต่แท้ที่จริงแล้ว สภาพธรรมใดที่มีปัจจัยเกิดปรากฏดับเร็วมากทันทีเกือบจะกล่าวได้ว่าทันที อย่างจิตเกิดขึ้นทำหน้าที่ของจิตนั้นแล้วดับทันที และจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งจึงดับ แต่รูปที่กำลังปรากฏ กำลังดับ เร็วกว่าที่เราคิดแค่ไหน เพราะระหว่างเห็นกับได้ยินซึ่งเหมือนพร้อมกันเกิน ๑๗ ขณะแล้ว เพราะฉะนั้น เราอยู่ในโลกของความทรงจำมากมาย และอยู่ในโลกของความปรุงแต่งซึ่งเป็นสังขารขันธ์ และก็ยังยึดมั่นด้วยการยึดมั่นว่าเป็นเราเป็นอุปาทานด้วยทิฏฐิความเห็นผิดว่าเป็นเราหรือว่าด้วยเป็นของเรา คือเป็นเราทั้งนั้นแหล่ะ จะเป็นเราด้วยมานะ เป็นเราด้วยตัณหาความติดข้อง หรือว่าเป็นเราด้วยทิฏฐิความเห็นผิด
ที่มา ..