รู้อารมณ์ทางใจอาศัยทวารที่เป็นนาม คือ ภวังคุปัจเฉทะ
ผู้ฟัง เมื่อกี้นี้อาจารย์กล่าวว่าวิถีจิตทางมโนทวารต้องเกิดที่ภวังคุปัจเฉทะใช่ไหม
ท่านอาจารย์ มิได้ หมายความว่าทวารมี ๖ ห้าทวารเป็นรูป หนึ่งทวารเป็นนาม นามก็คือว่าจิตจะสามารถรู้อารมณ์โดยไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ต้องมีรูปกระทบ ไม่ต้องมีเสียงกระทบ ไม่ต้องมีกลิ่นกระทบ ไม่ต้องมีรสกระทบ ไม่ต้องมีเย็น ร้อน อ่อน แข็งกระทบ ก็คิดนึกได้ เพราะฉะนั้น ขณะที่คิดนึกไม่ได้อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลยที่เป็นรูป แต่ต้องอาศัยทวารที่เป็นนาม เพราะฉะนั้น เมื่ออาศัยทวารที่เป็นนามก็คืออาศัยจิตที่เกิดก่อน เพราะว่าจิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิเป็นภวังค์ ไม่รู้อารมณ์ใดๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่จะรู้อารมณ์ทางใจ เอาทวารที่เป็นรูปมาไม่ได้เลย เพราะไม่ได้อาศัยทวารเหล่านั้น ก็ต้องอาศัยจิตที่เกิดก่อนนั่นแหล่ะเป็นทวาร
เพราะฉะนั้น มโนทวารได้แก่ภวังคจิต แต่ต้องเจาะจงว่าได้แก่ภวังคุปัจเฉทะจิตซึ่งเกิดก่อนวิถีจิตทางมโนทวาร เพราะเหตุว่าภวังคจิตจะเป็นภวังค์ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่มีปัจจัยจะทำให้รู้อารมณ์อื่น แต่เวลาที่มีปัจจัยที่จะทำให้รู้อารมณ์อื่น ภวังค์จะไหว จากภวังค์ๆ ๆ ไป ถ้าเป็นการรู้อารมณ์ทางใจ ภวังค์จะไหว และดับไป ภวังค์ที่ไหวเกิดก่อนภวังคุปัจเฉทะ ภวังค์นั้นชื่อว่า “ภวังคจลนะ” พอภวังค์ไหวดับไปก็เป็นปัจจัยให้ภวังคุปัจเฉทะเกิด ภวังคุปัจเฉทะเป็นภวังค์ดวงสุดท้ายหรือขณะสุดท้ายของภวังค์
ถ้าจิตนั้นเป็นภวังคุปัจเฉทะแล้วจะมีภวังคุปัจเฉทะอีกไม่ได้เลย ต้องเป็นวิถีจิตสืบต่อทันที แล้วถ้าเป็นทางมโนทวาร ไม่ได้อาศัยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ภวังคจลนะดับ ภวังคุปัจเฉทะเกิด เพราะฉะนั้น มีคำว่ามโน และมโนทวารคือภวังคุปัจเฉทะ และมีคำว่ามโนทวารวิถี หมายความว่าจิตที่จะเกิดสืบต่อจากภวังคุปัจเฉทะต้องเป็นมโนทวารวิถีตลอดจนกว่าจะสิ้นวาระของมโนทวารวิถี
ที่มา ..