ชาติของจิต - กิจของจิต - ความเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง เรากำลังเรียนเรื่องกิจของจิต
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ กำลังพูดถึงชาติของจิต และก็มีส่วนประกอบคือพวกนี้ แต่ว่ายังไม่ได้เรียนจริงๆ แต่ว่าเมื่อกล่าวถึงกล่าวถึงได้ เช่น ปัญจทวาราวัชชนะ เรากล่าวถึงกิจได้เลยว่าไม่ได้ทำภวังคกิจ จิตนี้เกิดขึ้นไม่ใช่ภวังค์เพราะไม่ได้ทำภวังคกิจ เป็นกิริยาจิตชาติกิริยา ซึ่งเราเน้นว่าชาติของจิตมี ๔ ชาติ กุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑ แต่คนส่วนใหญ่จะชินกับคำว่ากุศล อกุศล เมื่อเริ่มเรียนจะได้ยินคำว่าวิบากก็พอที่จะเข้าใจได้ว่าเป็นผลของกุศล และอกุศล แต่เมื่อกล่าวถึงกิริยา เข้าใจคำนี้ว่าเป็นกิริยาจิตในขณะไหน เมื่อไร จึงกล่าวถึงจิตซึ่งเป็นชาติของกิริยา ๒ ขณะ ๒ ประเภทก็คือปัญจทวาราวัชชนจิต ซึ่งเกิดต่อจากภวังคุปัจเฉทะ คือภวังค์ขณะสุดท้ายของกระแสภวังค์เป็นชาติกิริยา เพราะเหตุว่าก่อนนั้นเป็นวิบาก กำลังเป็นภวังค์เป็นวิบาก ปฏิสนธิจิตก็เป็นวิบากเป็นผลของกรรม
ภวังคจิตสืบต่อดำรงความเป็นบุคคลนั้นก็เป็นผลของกรรม ยังไม่มีการรับรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด แต่ไม่ใช่เกิดมาเพียงแค่เป็นแบบนี้ แต่ต้องรับผลของกรรมทางตา หรือทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพราะฉะนั้นวิบากอย่างอื่นมี ไม่ใช่แต่วิบากที่ทำให้เป็นคนนี้ และก็ดำรงความเป็นคนนี้โดยไม่รู้ ไม่เห็น ไม่อะไรทั้งนั้น นั่นไม่ใช่การรับผลของกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อจะรับผลของกรรม กรรมก็ทำให้เกิดรูป ปสาทรูปที่สามารถกระทบกับรูปอื่นๆ เช่นกรรมทำให้มีจักขุปสาทรูป รูปที่สามารถกระทบสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ จึงเห็น เพราะฉะนั้นที่เห็นเป็นผลของกรรม ต้องเห็น อย่าคิดว่าเราอยากเห็น เราเกิดมาแล้วเราต้องเห็น แต่เพราะไม่รู้ความจริงเลยชอบเห็น แต่จริงๆ แล้วต้องเห็น บังคับให้ไม่ให้เห็นไม่ได้ แต่การที่จะเป็นวิบากอื่นเกิดขึ้นต่อจากภวังคจิตทันทีไม่ได้ เพราะกำลังป็นภวังค์ดำรงภพชาติด้วยเหตุคือกรรมที่ทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ ไม่ใช่ด้วยเหตุของกรรมที่จะทำให้เห็นสิ่งอื่น หรืออาจจะเป็นกรรมที่ทำให้ปฏิสนธินั้นทำให้เกิดการเห็นด้วย การได้ยินด้วยก็ได้ ก็เป็นสิ่งซึ่งผู้ที่จะรู้แจ้งเรื่องกรรม และผลของกรรมคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะแม้ขณะที่กำลังเห็น ใครจะมาสามารถรู้ว่าเป็นผลของกรรมในชาติไหน และกรรมอะไร แต่ทราบได้ว่าเป็นผลของกรรมจึงต้องเห็น
เพราะฉะนั้นความรู้ความสามารถของเราที่จะเข้าใจพระธรรม อย่าข้ามไปถึงสิ่งที่เรารู้ไม่ได้แล้วก็สงสัย ไม่มีประโยชน์ แต่แม้สิ่งที่มีอยู่นี้ ถ้าเข้าใจขึ้นๆ ก็จะทำให้เห็นความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม และก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าความรวดเร็วของจิตไม่มีใครที่จะยับยั้งได้เลย และก่อนที่กรรมจะให้ผลทางตาคือให้จิตเห็นเกิดขึ้น ต้องมีกิริยาจิตเกิดก่อนทำอาวัชชนกิจยังไม่ทันเห็น เพราะเหตุว่าเพียงแต่จากภวังค์ซึ่งไม่รู้สึกตัวเลย ไม่มีการรู้อารมณ์ใดๆ แล้วรู้ว่ามีอารมณ์กระทบนั่นคือเริ่มเป็นวิถีจิตแรกซึ่งไม่ใช่ภวังค์ และจิตที่เป็นวิถีจิตแรกคือ ถ้าเป็นทาง ๕ ทวารก็เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต แล้วก็กล่าวถึงกิจรวมไปด้วยเพื่อให้เข้าใจ เราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าไม่ต้องไปคอยจนถึงเวลาที่เราจะพูดเรื่องกิจ แม้ในขณะนี้ก็ให้ค่อยๆ คุ้นเคยไป หมายความว่าค่อยๆ เข้าใจว่า สภาพธรรมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นมาได้ต้องมีปัจจัย อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ถ้าไม่มีธรรมจะมีอะไรมาเป็นปัจจัย แต่ธรรมอะไรเป็นปัจจัยแก่ธรรมอะไรโดยสถานใด หรือโดยฐานะใด แม้ในหนึ่งขณะจิตที่เห็นก็ต้องมีจักขุปสาทเป็นที่อาศัย มิฉะนั้น ก็เห็นไม่ได้ ต้องมีอารมณ์คือสีสันวัณณะที่กำลังปรากฏทางตาเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้สำหรับจิตเห็น โดยฐานะที่เป็นอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้นจิตที่ไม่มีกิจมี หรือไม่ ไม่มี ปฏิสนธิจิตมีกิจ หรือไม่ มี กิจอะไร
ผู้ฟัง ปฏิสนธิกิจ
ที่มา ...