เรื่องของรู้ก็นานมาก เรื่องของตอนที่จะละก็ต้องนานมากด้วย


    ผู้ฟัง ที่เขากล่าวอ้างกันบ่อยๆ ว่า พระพุทธองค์ประทานผ้าขาวให้พระภิกษุรูปหนึ่ง พระภิกษุรูปนั้นก็ลูบผ้านั้นจนนั้นเกิดมัวหมองขึ้น และปัญญาภิกษุนั้นก็ได้เกิดรู้ขึ้นมาว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเพียง อนิจฺจัง ทุกฺขัง อนัตตา เท่านั้น เช่นนี้จะเป็นบาทให้พระภิกษุรูปนั้นรู้รูปรู้นามอื่นๆ เช่นเดียวกันได้หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นมีเวทนาไหม ความรู้สึกมีไหม มี ถ้าสติไม่ระลึกรู้จะละการยึดถือว่าเป็นตัวตนได้ไหม ขณะนั้นมีธรรม เมื่อมีสติก็ต้องระลึกรู้ แล้วปัญญาจะแก่กล้า รู้ชัด ละคลายการยึดถือว่าเป็นตัวตน เมื่อถึงความแก่กล้าแล้ว ซึ่งผู้อื่นก็ห้ามหรือยับยั้งไม่ได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าไม่รู้ ไม่ใช่หมายความว่าไม่เจริญสติ ไม่ใช่หมายความว่าพ้นจากกาย เวทนา จิต ธรรม เวลาที่จับผ้ามีการกระทบสัมผัสไหมขาดสติระลึกรู้ไหม ถ้าขาดสติก็ไม่มีหนทาง แต่ว่าเวลาที่ท่านเจริญสติแล้วแต่ว่าสติของท่านจะเป็นไปในกาย เป็นไปในเวทนา เป็นไปในจิต เป็นไปในธรรม และเพราะว่าท่านไม่ใช่อุคฆติตัญญู ไม่ใช่วิปจิตัญญู ท่านก็เจริญสติปัฏฐาน ๔ โดยที่ไม่ต้องมีใครไปนั่งจำแนกว่าในชั่วโมงนั้นขณะนั้นท่านเจริญกายาฯ ท่านเจริญเวทนาฯ ท่านเจริญจิตตาฯ หรือว่าท่านเจริญธรรมมาฯ มีอยู่แล้ว จิตของท่านก็มีอยู่ในขณะนั้น เวทนาของท่านก็มีในขณะนั้น ธรรมก็มีในขณะนั้น สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกายก็มี ทางตาก็มี ทางหูก็มี

    ขณะนี้ ใครจะจับผ้าสักนิด ยังไม่ทันมัวหมอง ก็รู้แจ้งอริยสัจจ์ได้ เพราะเหตุว่าเจริญสติแล้วก็รู้ชัดในลักษณะของนามรูปที่กำลังปรากฏ ไม่ต้องถึงกับไปลูบคลำจนกระทั่งมัวหมองก็ได้ … แล้วแต่ จะเกิดการสลดเพราะเหตุใด การรู้ต้องรู้กาย เวทนา จิต ธรรม แต่ตอนที่จะละ จะละเพราะเหตุใด แล้วแต่การสะสมอบรมมา แต่ละคนเมื่อเจริญสติแล้ว รู้ลักษณะของนามของรูปแล้ว อย่าคิดว่าจะละได้ง่ายๆ ทันที เรื่องของรู้ก็นานมากกว่าจะพิจารณา เจริญบ่อยๆ เนืองๆ แล้วก็รู้มากขึ้นชัดขึ้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ และถึงตอนที่จะละ ก็ยังต้องนานมากอีกด้วย ไม่ใช่ว่าจะละคลายได้ง่ายๆ เป็นเรื่องของการรู้อย่างละเอียด และการละอย่างละเอียดจริงๆ จะจับผ้าอะไรก็ได้ แล้วก็บรรลุมรรคผลในขณะนั้นก็ได้ ไม่ต้องไปลูบคลำจนกระทั่งหมองไปก็ได้


    หมายเลข 5942
    31 ก.ค. 2567