อัญญิณทรีย์นี้เป็นผลของอนัญญาตัญญัตสามีตินทริยนั้น


    ข้อความต่อไปมีว่า

    อัญญินทรีย์ทรงแสดงไว้ต่อจากอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะนั้น เพราะอัญญินทรีย์นี้เป็นผลของอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะนั้นและเป็นอินทรีย์ที่จะพึงเจริญให้เกิดมีในลำดับต่อจากอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะนั้น

    ชื่อยาว ๆ อย่างนี้ ท่านผู้ฟังก็จำไว้ว่าเป็นปัญญาซึ่งเกิดกับโสตาปัตติมัคคจิต ยาวที่สุด คือ อนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะ เป็นครั้งแรก เป็นอินทรีย์ เป็นใหญ่ซึ่งทำให้ผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคลต้องเป็นใหญ่จริง ๆ

    เพราะฉะนั้นอินทรีย์ต่อไปคืออัญญินทรีย์ได้แก่ ปัญญาเจตสิกซึ่งเกิดกับโสตาปัตติผลจิต เป็นต้นไป จนกระทั่งถึงอรหัตมัคคจิตเว้นเฉพาะอรหัตตผลจิต ซึ่งเป็นปัญญาอีกขั้นหนึ่ง

    นี่ก็แสดงให้เห็นความต่างกันแล้ว เพราะสำหรับอัญญินทรีย์ได้แก่ ปัญญาซึ่งเกิดกับโสตาปัตติผลจิตตลอดไปจนกระทั่งถึงอรหัตตมัคคจิตนั้น ทรงแสดงไว้ต่อจากอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะนั้น เพราะอัญญินทรีย์นี้เป็นผลของอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะนั้น

    ถ้าโสตาปัตติมัคคจิตไม่เกิด โสตาปัตติผลจิตเกิดไม่ได้ สกทามัคคจิตเกิดไม่ได้ สกทาคามิผลจิตเกิดไม่ได้ อนาคามิมัคคจิตเกิดไม่ได้ อนาคามิผลจิตเกิดไม่ได้ อรหัตมัคคจิตเกิดไม่ได้เพราะฉะนั้นที่อัญญินทรีย์จะเกิดได้ก็ต้องเกิดต่อจากอนัญญาตัญญัตสามีตินทรียะคือ ปัญญาเจตสิกที่เกิดกับโสตาปัตติมัคคจิตนั่นเอง


    หมายเลข 5955
    27 ส.ค. 2558