ฟังพระธรรมไปอย่างนี้ เบื่อหรือยัง


    ฟังไปอย่างนี้เบื่อ หรือยัง ถ้าเบื่อก็คือว่าไม่มีหนทางอีกแล้ว เพราะเป็นเรื่องของความไม่รู้ที่มืดมาก แล้วกว่าจะค่อยๆ รู้เพิ่มขึ้น คิดดูก็แล้วกัน กี่ชาติที่ต้องฟัง ฟังแล้วก็ต้องแยบคาย การคิดก็จะปรุงแต่งให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง ในทางที่มีเหตุผลขึ้น จนกว่าจะถึงกาลที่สามารถจะมีเครื่องมือ คือเรือที่จะข้ามฝั่ง แต่ขณะนี้เหมือนอยู่ในฝั่งซึ่งขณะนี้กำลังหาสิ่งที่จะทำให้เป็นเรือสำหรับที่จะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ยังไม่ได้มีเรือจริงๆ แต่กำลังเป็นความเข้าใจที่เริ่มจะเห็นว่ากำลังอยู่คนละฝั่งกับสภาพธรรมที่ไม่เกิด และก็ไม่มีการที่จะต้องเป็นทุกข์ เพราะไม่มีการเกิดดับอีกเลย แต่กว่าจะถึงทางนั้นได้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และไม่ประมาทด้วย

    เพราะฉะนั้น เวลาฟังพระธรรมแต่ละครั้งให้ทราบว่าเป็นเรื่องจริงในขณะนี้ และความไม่รู้ที่เรากล่าวว่าอวิชชาๆ ก็ไม่ใช่รู้ขณะอื่น แต่คือขณะที่กำลังเห็นนี้ แล้วไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงคำว่าเป็นธรรม ก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะรู้ว่าถ้าเป็นธรรมเมื่อไหร่ ขณะนั้นรู้ว่าไม่ใช่บัญญัติ ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ เพราะว่าเริ่มสามารถที่จะรู้ความต่างของปรมัตถ์กับบัญญัติ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมอาจจะฟังเรื่องเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ในพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพระสูตร พระอภิธรรมก็ตาม ก็เป็นเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ต่างกันเลย ในอดีต และอนาคต และปัจจุบัน เพราะเป็นอย่างที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ชาติก่อนก็เป็นอย่างที่ปรากฏในชาติก่อน ชาติหน้าก็จะเป็นอย่างที่กำลังปรากฏในชาติหน้า ก็ไม่ต่างกันเลย แต่ว่าความรู้ความเข้าใจต่างกัน เพราะเหตุว่าชาติไหนที่ไม่มีการฟัง ก็จะไม่มีความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ชาติไหนที่ได้ยินได้ฟังในขณะที่กำลังฟังเป็นการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจพระธรรมในระดับไหน แล้วไม่ท้อถอยเลย เพราะว่าคนที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง คิดดูว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ในสังสารวัฏฏ์ทั้งชาตินี้เลย แต่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังยังรู้ว่าอยู่ตรงไหน คืออยู่ตรงที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง และก็จะสะสมต่อไป

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 32


    หมายเลข 5979
    17 ม.ค. 2567