ทำไมมหาภูตรูปไม่เป็นอินทรีย์
เพราะฉะนั้นก็จะขอกล่าวถึงอินทรียะที่เป็นรูปเสียก่อนที่ว่าสำหรับอินทรียะ ๒๒นั้น เป็นรูป ๗
ท่านผู้ฟังควรที่จะได้พิจารณาว่าทำไมมหาภูตรูปไม่เป็นอินทรียะ ถูกไหมคะ เป็นมหาภูตรูป เป็นรูปใหญ่เท่ากับว่าเป็นประธานของรูป เพราะเหตุว่าถ้าปราศจากมหาภูตรูปแล้ว รูปอื่น ๆ จะมีไม่ได้เลย จักขุปสาทก็มีไม่ได้ โสตปสาท ฆานปสาทชิวหาปสาท กายปสาท ก็มีไม่ได้แต่เพราะเหตุใดมหาภูตรูปจึงไม่เป็นอินทรียะ ไม่เป็นใหญ่
เคยลองคิดไหม เป็นมหาภูตรูปแต่ไม่เป็นอินทรีย์ไม่เป็นใหญ่เพราะเหตุว่ามหาภูตรูปนี้มีอยู่ทั่วไป ทั้งภายในและภายนอก
ที่กายก็มีมหาภูตรูป แต่จะรู้ลักษณะของมหาภูตรูปได้ไหมถ้าไม่มีกายปสาท ซึ่งเป็นอินทรียะ เพราะฉะนั้นสภาพของรูปที่เป็นใหญ่จริง ๆไม่ใช่มหาภูตรูป แต่เป็นอินทรียรูป ซึ่งเป็นทวารหรือว่าเป็นทางที่จะทำให้รูปอื่นๆปรากฏได้ เช่นทางตามีสีสันวรรณะปรากฏ แต่เพียงไม่มีจักขุปสาทเป็นจักขุนทรีย์ รูปทั้งหมดไม่ปรากฏเลย ที่ท่านผู้ฟังเห็นเป็นจิตรกรรมสวย ๆ งาม ๆ ต่าง ๆ เป็นพระพุทธรูปทองคำบ้าง เป็นพระพุทธรูปที่มีค่าต่าง ๆ บ้าง ลองคิดถึงผู้ที่ไม่มีจักขุปสาทคือ ไม่มีจักขุนทรีย์ ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาสำหรับบุคคลที่มีจักขุปสาทนั้นเป็นอย่างไร แต่ว่าสามารถที่จะกระทบสัมผัส ถ้ามีกายปสาท ก็กระทบสัมผัสมหาภูตรูปได้ แต่ยังไม่สามารถที่จะเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งเป็นรูปารมณ์หรือเป็นวรรณะเป็นสีสันต่าง ๆ ได้
เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าตัวของมหาภูตรูปเองก็ดีหรือรูปที่ปรากฏทางตา เสียงที่ปรากฏทางหูกลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้นเหล่านั้นทั้งหมดจะไม่สามารถปรากฏเลยถ้าขาดปสาทรูปซึ่งเป็นอินทรียะ
เพราะฉะนั้นแม้ว่าที่ตัวนี้จะมีรูปถึงแต่ละท่านคนละ ๒๗ รูป ก็ควรที่จะได้ทราบว่า รูปใดเป็นอินทรีย์นี่จะต้องรู้ในความเป็นอินทรีย์ของรูปนั้นมิฉะนั้นแล้วปัญญาไม่เจริญไม่สามารถที่จะเห็นสภาพความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมทั้งหลายทั้งนามธรรมและรูปธรรมได้
แต่ถ้าพูดถึงอินทรีย์เฉย ๆ โดยไม่เจริญสติปัฏฐานเลยจะไม่มีความหมายเลยจะไม่เข้าถึงลักษณะสภาพความเป็นอินทรีย์ของตาหรือหูหรือจมูกหรือลิ้นหรือกายเพราะเหตุว่าไม่ได้พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางทวารต่าง ๆ เหล่านั้น