บ้านธัมมะ ม.ค. ๒๕๕๒ ตอนที่ 36


    สนทนาธรรมที่บ้านธรรม เชียงใหม่

    วันที่ ๑๓-๑๔-๑๕ มกราคม ๒๕๕๒


    อ.ธิดารัตน์ จิตเกิดแล้วดับนะคะ แต่เมื่อดับแล้วเนี่ยมีการสะสมพืชเชื้ออย่างอนิสัยกิเลส อย่างนี้นะคะ ที่จะเป็นปัจจัยให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้นก็ยังมี อย่างเช่น ถ้าโลภะเกิดขณะหนึ่งเมื่อดับไป ไม่หายไปไหนนะคะ เพราะเป็นปัจจัยให้ดวงใหม่เกิดขึ้นเขาก็มีสิ่งที่สะสมเดิม และดวงใหม่เมื่อดับไปนะคะ ก็เพิ่มสิ่งที่จะสะสมที่เพิ่มอีก ไม่ว่าจะเป็นทั้งฝ่ายอกุศลธรรมก็สะสม แล้วเวลาที่กุศลแล้วจิตเกิดก็สะสมแล้วก็สืบต่อไปยังจิตดวงต่อไป

    ผู้ฟัง จะถามยังไงดี คือการสืบต่อเนี่ยเป็นสืบต่อในลักษณะเป็นปัจจัยเป็นเหตุให้จิตใหม่เกิดขึ้นใช่ไหม

    อ.ธิดารัตน์ คะ

    ผู้ฟัง ถ้านี้จิตใหม่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรเนี่ย จะพ้นไปจากจิต ๑๒๑ ดวง หรืออะไรนั่นไหมคะ

    อ.ธิดารัตน์ ก็ทำไมแต่ละท่านนี่นะคะ ถึงมีอุปนิสัยต่างๆ กัน มาจากไหน ก็คือมาจากการสะสมเดิมๆ นะคะ ซึ่งก็เกิดมาหลายๆ ชาติแล้วนี่นะคะ ทั้งทุกอย่างค่ะ ทุกอย่างที่สะสม ไม่ว่าจะเป็นความชำนาญความชอบ หรือว่าปัญญาที่สะสมมา ทุกอย่างนะคะ สะสมแล้วก็สืบต่อไปในจิตขณะต่อไป ทุกขณะจิตที่เกิดขึ้นนะคะ มีของเก่าที่สะสมไว้แล้วจากจิตดวงก่อน แล้วก็ถ้าจิตจิตดวงใหม่นี้นะคะ เป็นกุศลก็สะสมกุศล จิตดวงใหม่เป็นอกุศลก็สะสมอกุศลเพิ่ม

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นก็สะสมไว้มากมายนะฮะ แต่ว่าเออ ตอนที่จะไปมีจิตดวงใหม่เกิดขึ้นนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่สะสมไว้ทั้งหมดเนี่ยจะสืบต่อไปแต่ขึ้นอยู่กับขณะนั้น

    อ.ธิดารัตน์ ทั้งหมดค่ะถ้ายังไม่ได้ดับ

    ผู้ฟัง พอกิเลสทั้งหมดแล้ว ถึงนิพพานแล้วนะคะ ในขณะที่นิพพาน สืบต่อจากเมื่อกี้นะฮะ ว่าถ้าไม่มีจิต ไม่มีตาไม่มีอะไรทั้งหลายนะคะ ก็อยู่จะอยู่ในลักษณะที่ไม่มีกิเลสเลยแล้วก็สงบนิ่ง อันนี้เข้าใจถูก หรือเปล่าคะ

    อ.ธิดารัตน์ พระนิพพานนี้นะคะ พ้นจากสังขารธรรมทั้งปวง คือเมื่อพระอรหันต์นี่นะคะ จุติของพระอรหันต์ท่านเกิด ดับขันธปรินิพพาน เพราะฉะนั้นขันธ์ห้า จะไม่มีเกิดขึ้นอีก เมื่อดับขันธ์ห้า หมดนี้นะคะ จึงเหลือแต่สภาวะที่เป็นพระนิพพาน ซึ่งไม่เกิดไม่ดับอีก

    ผู้ฟัง ซึ่งแตกต่างกับสิ่งที่ไม่มีชีวิตใช่ไหมคะ เพราะว่าเราพูดว่าถ้าสิ่งไม่มีชีวิตแล้วก็ไม่มีจิต ต่างกันใช่ไหมคะ

    อ.ธิดารัตน์ พระนิพพานนะคะ มีจริงเป็นปรมัตถธรรม ไม่เกิด

    ผู้ฟัง คิดว่าน่าจะต่างกันนึกออกแต่ว่าถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วก็ไม่มีจิต พระนิพพานก็ไม่มีจิต

    อ.ธิดารัตน์ เดี๋ยวนะคะ สิ่งมีชีวิตต้องมีจิต มีเจตสิก

    ผู้ฟัง ไม่มีชีวิตค่ะ

    อ.ธิดารัตน์ และสิ่งสิ่งที่มีชีวิตไม่มีจิตไม่มีเจตสิกมีไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่มี แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตเนี่ยก็ไม่มีจิตไม่มีเจตสิก สงสัยว่าสภาพเนี่ยจะต่างตรงที่เป็นพระนิพพานยังไง ในเมื่อทั้งหมดก็ไม่มีชีวิต

    อ.ธิดารัตน์ เมื่อสิ่งไม่มีชีวิตอย่างโต๊ะ เก้าอี้ ไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก แต่มีรูป มีรูปธรรม รูปธรรมเกิดดับ

    ผู้ฟัง ค่ะ

    อ.ธิดารัตน์ เพราะว่าเป็นสังขารธรรมอยู่

    ผู้ฟัง พระนิพพาน

    อ.ธิดารัตน์ พ้นจากสังขารธรรมทั้งปวง

    ผู้ฟัง ไม่มีรูปด้วย

    อ.ธิดารัตน์ ค่ะ

    ผู้ฟัง ขอบพระคุณค่ะ

    พลตรี ศิลกัล คุณธิดารัตน์ ช่วยอธิบายให้กระจ่างหน่อยฮะ

    อ.ธิดารัตน์ พระนิพพานนะคะ เป็นธรรมที่พ้นจากโลกจึงใช้คำว่าโลกุตระธรรมนะคะ โลกุตรธรรมนี้มี ๙ มรรคจิต ๔ ผลจิต ๔ แต่มรรคจิตผลลจิต นี้นะคะ ยังเป็นธรรมที่เกิดดับอยู่ แต่เป็นเครื่องที่ทำให้พ้น เพราะว่ามรรคจิตผลจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์ ทำให้พ้นจากโลกจึงเป็นโลกุตระธรรม และพระนิพพานก็คือโลกุตระที่สูงสุดนะคะ เป็นสภาพของนามธรรมไม่ใช่รูปประธรรม แต่เป็นนามธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ จึงต่างจากจิต และเจตสิก ซึ่งเป็นธรรมที่เกิดดับ และต้องมีปัจจัยปรุงแต่งด้วย พระนิพพานไม่มีปัจจัยปรุงแต่งเป็นนามธรรมที่ละเอียดที่สุดแล้วก็ไม่เกิดดับ

    ผู้ฟัง ก็ขอถามเรื่องคำว่าคิดอีกครั้งหนึ่งครับ ที่คุณลุงนิพัฒน์บอกว่าคนเราทุกข์เพราะคิดใช่ไหมครับ แต่ผมมันนึกอีกทีมันจะขัดแย้งกันท่านอาจารย์คือว่าคนเรามันทุกข์จริงๆ ผมว่ามันไม่ใช่เพราะคิดครับแต่ว่าทุกข์ก็เพราะเอาความคิดเป็นตัวตนมากกว่า ก็คือว่าความคิดจะเป็นตัวตนทุกข์ หรือว่าคิดเพราะทุกข์ครับ อยากให้อาจารย์ช่วยขยาย

    ท่านอาจารย์ ต้องแยกความหมายของทุกข์นะคะ ทุกข์กายกับทุกข์ใจ ทุกข์กายไม่ต้องคิดก็ทุกข์ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ครับผม

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นทุกข์ใจ คิดดีๆ ทุกข์ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ทุกข์ครับ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคิดไม่ดีเพราะกิเลส จึงเป็นทุกข์

    ผู้ฟัง ขอบคุณครับ

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ คือมีคำถามจากเว็ปไซด์นะครับ เขาก็ถามมาว่า ถ้าคนเราระลึกชาติได้จะดีกว่าไหมที่เราระลึกชาติได้แล้วก็ไม่ต้องทำอกุศล ท่านอาจารย์ช่วยเกื้อกูลด้วยครับ

    ท่านอาจารย์ เคยเกิดเป็นอะไรมาแล้วบ้าง

    ผู้ฟัง จำไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ลองคิดสิคะ เคยเกิดเป็นอะไรมาแล้วบ้าง

    ผู้ฟัง คงจะเป็นมาหลายอย่าง ทั้งสัตว์เดรฉาน ทั้งมนุษย์

    ท่านอาจารย์ รู้อย่างนี้จะไม่ทำอกุศล หรือคะ

    ผู้ฟัง ก็ถ้ายังมีกิเลส มันก็ยังต้องทำอยู่นะครับ

    ท่านอาจารย์ เดียรถีย์ปริพาชก นะคะ ไม่ได้เข้าใจธรรมเลย ก็ระลึกชาติได้ เมื่อจิตสงบเป็นฌานจิต มีกำลังที่ฝึกหัดแล้วสามารถที่จะระลึกจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่จำชาติ แต่ระลึกได้ ก็ยังมีกิเลสอยู่ ไม่ใช่พอระลึกได้จะไม่มีอกุศลอีกต่อไป

    ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นผู้ที่ระลึกชาติได้แล้วก็มีความเห็นผิดก็ยังมีอยู่ ใช่ไหมครับท่านอาจารย์ แล้วก็ผู้ระลึกชาติได้กระทำอกุศลกรรมก็ยังทำอยู่ ก็ได้ ใช่ไหมครับท่านอาจารย์ครับ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ในตัวอย่างก็มีนะคะ ได้ฌาน ก็ได้นะคะ ก็ยังมีกิเลสไม่ได้ละกิเลสเพราะฌาน ถึงแม้ว่าจะสามารถที่จะอบรมฌานจิต มีจักษุทิพย์ ระลึกชาติได้เห็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่เห็นได้ยินเสียงที่ซึ่งคนธรรมดาก็ไม่ได้ยินนะคะ แต่ก็ยังมีกิเลสเพราะเหตุว่าฌานทั้งหลาย และคุณวิเศษอื่นๆ ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้

    ผู้ฟัง แสดงว่าก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่จะระลึกชาติได้ และจะไม่ทำอกุศล ต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจพระธรรมที่เพิ่มขึ้นนะครับ

    ท่านอาจารย์ มีใครบ้างที่ไม่เคยเป็นญาติพี่น้อง พ่อแม่มารดาบิดาบุตรหลานในที่นี้ในชาติก่อนๆ แล้วเป็นไงคะระลึกได้แล้วเป็นอย่างไร

    พลตรี ศิลกัล ก็คงจะเป็นคำถามสุดท้ายแล้วใกล้จะหมดเวลา เมื่อกี้นี้อาจารย์นิพัฒน์ได้ทิ้งท้ายว่า ในยามที่สาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแล้วก็ได้แสดงธรรมปฏิจจสมุปบาท ผมไปอ่านในพระสูตรบอกว่า ถ้าไม่เห็นปฏิจจสมุปบาท ไม่เห็นเราตถาคต ขอให้อาจารย์นิพัฒน์ได้อธิบายปฏิจจสมุปบาท

    อ.นิภัทร ปฏิจจสมุปบาท โดยมากคนจะอ่าน ปฏิจจ-สมุป-ป-บาท ไม่ต้องปะ นะครับ ปฏิจจสมุปบาท เพราะ ป. ตัวหนึ่งเป็นตัวสะกด เป็นสมุปบาท แปลว่าธรรมที่เกิดโดยอาศัยกันเกิดขึ้น เดี๋ยวนี้ ปฏิจจสมุปบาทมีอยู่เดี๋ยวนี้ อวิชชาท่านว่าเป็นหลัก แต่จริงๆ ก็คือเดี๋ยวนี้ สังสารวัฏฏ์ฏมีอยู่ตลอด กิเลสเป็นเหตุให้เกิดกรรม ชั่วบ้างคิดดีบ้างชั่วบ้างแล้วแต่ กรรมเป็นเหตุให้เกิดวิบาก เมื่อเสวยวิบาก แล้วกิเลสก็เกิด เป็นเหตุให้ทำกรรม กรรมก็เป็นเหตุให้เกิดวิบาก วนกันอยู่อย่างนี้ กิเลสวัฏฏ์ฏะ กัมมวัฏฏะ วิปากวัฏฏ์ฏะ

    พลตรี ศิลกัล การสนทนาธรรมในครั้งนี้ก็คงจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้นะครับ ผมคิดว่าการสนทนาธรรมกันในสามวันที่ผ่านมา ก็คงจะเป็นการสะสมความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้นนะครับ ก็ยังไม่เพียงพอนะครับ คงจะต้องมีการฟัง หรือสนทนาต่อ ถ้ามีโอกาสฟังก็ฟังจากเทปก็ได้ ฟังจากสถานีวิทยุก็ได้ หรือถ้าสนใจมีเวลาไปกรุงเทพฯ นะสำหรับผู้ที่กรุงเทพฯ ก็ไม่มีปัญหานะครับ ก็ไปฟังที่มูลนิธิฯ ซึ่งจะมีการสนทนาธรรมทั้งวันเสาร์ และอาทิตย์ สำหรับที่บ้านทำหน้าที่นี่ ก็มีการสนทนาธรรมเช่นเดียวกันสนทนาเฉพาะวันอาทิตย์เวลาบ่ายสองโมงถึงเวลาบ่ายสี่โมง


    หมายเลข 6080
    18 ธ.ค. 2566