ถ้าเป็นวิถีจิต ต้องอาศัยทวาร


    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่กำลังเห็น ก่อนนั้นเป็นภวังค์ และเมื่อรูปกระทบกับจักขุปสาทเป็นอตีตภวังค์ดับไป ภวังคจลนะไม่ใช่ไหวอย่างรูป แต่ใกล้ที่จะสิ้นสุดความเป็นภวังค์ และเมื่อภวังคจลนะที่เราใช้คำแปลสั้นๆ ว่า ไหว ดับไปแล้ว ก็เป็นภวังค์ขณะสุดท้าย ใช้คำว่าภวังคุปัจเฉทะ เมื่อภวังคุปัจเฉทะเกิดแล้วจะเป็นภวังค์อีกต่อไปไม่ได้เลย จะใช้คำว่าตัดกระแสภวังค์ หรืออะไรตามรูปศัพท์ก็ตาม แต่หมายความว่าสิ้นสุดกระแสภวังค์ จะเป็นภวังค์อีกต่อไปไม่ได้ จิตขณะต่อไปต้องเป็นวิถี ซึ่งถ้าเป็นวิถีต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดเสมอ จะเป็นวิถีจิตโดยไม่อาศัยทวารไม่ได้เลย เมื่อเวลากล่าวถึงวิถีจิตต้องคู่กับทวาร หรือกล่าวถึงทวารต้องคู่กับวิถีจิต ไม่ใช่คู่กับภวังค์ เพราะเหตุว่าภวังค์สามารถที่จะรู้อารมณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยทวารเลย เพราะว่าจิตที่สามารถจะรู้อารมณ์ได้โดยไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย มี ๓ ขณะ คือ ปฏิสนธิขณะ ภวังค์ขณะ จุติขณะ นอกจากนั้นแล้วต้องอาศัยทวาร จะรู้ หรือไม่รู้ก็ตามก็ต้องอาศัยทวาร

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 32


    หมายเลข 6112
    17 ม.ค. 2567