ไม่มีผู้ตัดสินว่าเป็นวิบากประเภทใด แต่เป็นเรื่องของปัญญา


    ผู้ฟัง ถ้าจะประมาณว่าขณะนี้เราก็เห็นแต่สิ่งที่ดีๆ น่าจะเป็นผลของกุศลวิบาก ได้ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ประมาณ แต่จะจริง หรือไม่จริง เราจะรู้ได้อย่างไร ต้องเป็นปัญญาของเราเอง ถ้ารู้ตามคนอื่นก็กล่าวกันว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจก็กล่าวว่าสิ่งนั้นเป็นกุศลวิบาก แต่ในทางกลับกัน เพราะเหตุว่าเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ จะอย่างไรๆ ก็รู้ไม่ได้ จะสีแดง สีเขียว สีฟ้า สีขาว สีใดเป็นที่น่าพอใจ สีใดไม่เป็นที่น่าพอใจ ใครจะเป็นผู้ที่ตัดสินได้ เมื่อไม่สามารถ ข้อสำคัญก็คือ เรากล่าวได้ว่าขณะใดเป็นกาลของกุศลกรรมที่จะให้ผล จักขุวิญญาณกุศลวิบากจึงเกิดขึ้นเห็น และสิ่งนั้นคือสิ่งที่ถูกเห็นนั้นเป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณกุศลวิบาก ถ้ากล่าวอย่างนี้ไม่มีทางผิดเลย

    เพราะใครก็ไม่สามารถจะกล่าวได้ชี้ได้ เพราะว่าเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก จักขุวิญญาณที่เกิดขึ้น ๑ ขณะ เพียง ๑ ขณะจริงๆ แล้วจะบอกได้อย่างไรว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นกุศลวิบาก หรือเป็นอกุศลวิบาก เพราะฉะนั้น ก็กล่าวเท่าที่ปัญญาจะสามารถเข้าใจได้ แล้วก็ตัดปัญหา จะให้ใครมาถาม ให้ใครตอบ ถ้าคนนั้นตอบ ตอบแบบไหน ตอบแบบประมาณ แบบคิด แบบฟังตามมา แต่ถ้าตอบตรงก็คือถึงกาลที่กุศลจะให้ผล เมื่อกุศลกรรมทำให้จิตเกิดต้องเป็นกุศลวิบาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏต้องเป็นอิฏฐารมณ์แน่ แต่ว่าสั้นแสนสั้นที่ดับไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องที่เราจะมานั่งคิด นั่งถามกัน หรือมานั่งชี้แจง ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปีทั้งชาติก็ไม่มีทางที่จะจบสิ้นได้ เพราะฉะนั้น ก็ให้เข้าใจเพียงว่า เมื่อเป็นกาลที่กุศลกรรมจะให้ผล ก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากจิตเกิด

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 33


    หมายเลข 6116
    24 ม.ค. 2567