จิตเกิดดับสะสมสืบต่อทุกประสบการณ์เป็นอุปนิสสยปัจจัย
เมื่อวานนี้ที่สนทนาธรรม และได้เล่าให้ฟังถึงชาวต่างประเทศสองท่าน ท่านหนึ่งอยู่เมืองไทย อีกท่านหนึ่งมาจากต่างประเทศ ท่านที่อยู่เมืองไทยท่านก็มีโอกาสได้ฟังธรรมบ่อยๆ แต่ท่านที่มาจากต่างประเทศ เมื่อเดินทางไปด้วยกัน เวลาว่างท่านที่เป็นชาวต่างประเทศที่มาจากต่างประเทศไม่ละทิ้งโอกาสที่จะสนทนาธรรมกับผู้ที่เป็นสหายธรรม ในขณะที่ท่านที่อยู่เมืองไทย ท่านก็คิด และเห็นว่าท่านไม่เห็นเหมือนอย่างเขาเลย ทำไมเขาช่างใช้เวลาส่วนใหญ่ที่จะเป็นไปได้เป็นอย่างนั้น แสดงว่าท่านเป็นผู้ที่ย่อหย่อน เกียจคร้าน เพราะคิดว่าเมื่อไหร่ก็ได้ ยังอยู่ที่เมืองไทย แต่ท่านที่เกิดทางไกลมาท่านใช้โอกาสทุกโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น แม้เพียงการคิดอย่างนี้ก็จะเป็นอุปนิสสยปัจจัยซึ่งจะทำให้ท่านที่พิจารณาคิดถึงเพื่อนต่างประเทศอาจจะเกิดความขยันแล้วก็ขวนขวายอีก จะมาก หรือจะน้อยก็แล้วแต่ วันนี้ หรือวันไหนก็แล้วแต่ เพราะว่าเราไม่สามารถที่จะรู้ถึงการปรุงแต่งของจิต เจตสิกแต่ละขณะที่เกิดขึ้นว่า จะปรุงแต่งวิจิตรสักเพียงใดในสังสารวัฏฏ์เนิ่นนานมา จิตเกิดดับสืบต่อทุกประสบการณ์สะสมสืบต่อเป็นปกตูนิสสยปัจจัย ไม่ได้สูญหายไปไหนเลย เพียงแต่เราไม่สามารถที่จะหยั่งรู้ได้ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีอาสยานุสยญาณ ญาณที่คนอื่นไม่มี สามารถที่จะเห็น และรู้ว่าบุคคลนี้มีอัธยาศัยทั้งทางฝ่ายกุศล และอกุศลสะสมมามากน้อยต่างกันอย่างไร เหมาะกับที่จะทรงแสดงพระธรรมที่จะเกื้อกูลเขาอย่างไร ซึ่งจะต่างกับบุคคลอื่น แต่เมื่อเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าเราสะสมอุปนิสัย อัธยาศัยทั้งฝ่ายกุศล และอกุศลมามากน้อยแค่ไหน แต่สามารถรู้ได้ทันทีที่สภาพธรรมเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นทุกขณะที่เกิดเป็นธรรมที่ส่องไปถึงการสะสมในแสนโกฏิกัปป์ในอดีตอนันตชาติ เพราะฉะนั้นเวลาที่จะฝันก็คือว่ายังมีความผูกพันในความเป็นเราในเรื่องราวต่างๆ ยังไม่ใช่ผู้ที่ดับกิเลสหมด ถ้าดับกิเลสหมดก็คือไม่มีอะไรที่จะต้องแม้กังวล หรือเยื่อใยถึงเลย
ที่มา ...