ฟังเรื่องของจิตเพื่อสั่งสมเป็นสจญาณ
เวลานี้เราก็อยู่กันตรงนี้ เราก็ควรที่จะได้ทราบประโยชน์ของการที่เราอยู่ตรงนี้ คือ ทุกคนมีจิต และก็ยากแสนยากที่จะรู้ว่าจิตนี้ไม่ใช่เรา แม้ว่าจะเห็น จะได้ยิน ซึ่งแม้ว่าขณะใดก็ตามที่จิตเกิดขึ้นทำหน้าที่ต่างๆ แต่ด้วย "ความไม่รู้" ก็มีการยึดถืออยู่ตลอดเวลาว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นประโยชน์จริงๆ ของการฟังพระธรรม ที่แสดงเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังมีอยู่ในขณะนี้ ก็เพื่อที่จะให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า "ไม่ใช่เรา" แต่การที่จะสละความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราที่สะสมมานานแสนนาน จะเห็นว่ายาก แม้แต่เพียงขั้นการฟังเรื่อง "จิต" ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลยทั้งสิ้น จิตเกิดขึ้นทำกิจการงานแล้วก็ดับไปรวดเร็วมาก ในวันหนึ่งๆ จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน หรือแม้แต่เพียงในขณะนี้เอง จะเห็นได้ว่าถ้าเราเข้าใจเรื่องจิต ก็จะรู้ว่าขณะที่เห็นเป็นเพียงจิตชนิดหนึ่ง ขณะที่ได้ยินเป็นจิตอีกชนิดหนึ่ง ขณะที่คิดนึกก็เป็นจิตอีกชนิดหนึ่ง แต่ความรวดเร็วของจิตมากมายกว่านั้น เพราะฉะนั้นการที่เราได้ฟังเรื่องของจิตบ่อยๆ และก็ได้พิจารณา ก็เพื่อให้สั่งสมเป็นสัจจญาณ เป็นความมั่นคงในอริยสัจที่จะรู้ได้ว่า สภาพธรรมใดก็ตามที่ปรากฏในขณะนี้ ปรากฏเพราะเกิดขึ้น จะเป็นเราได้อย่างไร และการที่จิตเกิดขึ้นก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ถ้าไม่มีปัจจัยที่เหมาะสมของสภาพธรรมของจิตแต่ละประเภท จิตแต่ละประเภทนั้นๆ ก็เกิดไม่ได้เลย เช่น " เสียง" แม้มี ไม่กระทบกับจักขุปสาท แต่เพราะต้องกระทบเฉพาะกับรูปที่สามารถกระทบได้คือโสตปสาทรูป ซึ่งเป็นรูปที่ใครก็มองไม่เห็น แต่รู้ได้ว่ามี เพราะเหตุว่า เสียงปรากฏได้เมื่อกระทบกับรูปๆ นั้น แล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นได้ยิน ทั้งหมดดับไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินก็ดับ เสียงก็ดับ โสตปสาทก็ดับ
เพราะฉะนั้น ขณะหนึ่งๆ ที่สภาพธรรมเกิดขึ้น แล้วดับไป ไม่มีอะไรเหลือเลย นี่คือจุดประสงค์ที่ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริง ให้ทุกคนได้สละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะเหตุว่า ทุกข์ทั้งหลายย่อมมาจากการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ถ้ารู้ว่าเป็นธรรมเท่านั้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าประจักษ์แจ้งจริงๆ อย่างนี้ ไม่มีความเป็นเรา แต่มีธรรม ก็จะค่อยๆ คลายการยึดถือสภาพธรรมนั้น แม้เป็นสิ่งที่ยากมาก แต่ควรที่จะสั่งสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และก็มีจริงๆ ไปเรื่อยๆ ปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นจากการฟัง การพิจารณา ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ส่วนชื่อ และเรื่องราวต่างๆ ที่ได้ฟังนี้ ก็เป็นสิ่งซึ่งเมื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแล้ว ก็เข้าใจชื่อทั้งหลายที่ได้ทรงแสดงไว้ เช่น "จิต" เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้เป็นนามธรรม ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ ซึ่งไม่เหมือนกับสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย วันไหนบ้างที่เราคิดถึงธรรมหลังจากที่เราฟังแล้ว ขณะนี้กำลังฟังเรื่องนี้ก็กำลังคิดเรื่องนี้ แต่เวลาที่ไม่ได้ฟัง มีขณะไหนบ้างที่เราจะคิดเรื่องที่ได้ฟังนี้ มีปัจจัยพอ หรือยังที่จะทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่วันหนึ่งเมื่อฟังไป แล้วเข้าใจเรื่องราว เวลาที่มีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะให้เข้าใจลักษณะของจิตที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นกำลังเห็น กำลังได้ยิน ขณะนั้นก็เป็นการสะสมการรู้จักสภาพธรรมตัวจริงๆ ที่มีจริงๆ ซึ่ง มีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว
ที่มา ...