อานันทสูตรที่ ๑


    สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค อานันทสูตรที่ ๑ มีข้อความว่า

    ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เวทนามีเท่าไร ความเกิดแห่งเวทนาเป็นไฉน ความดับแห่งเวทนาเป็นไฉน ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งเวทนาเป็นไฉน อะไรเป็นคุณแห่งเวทนา อะไรเป็นโทษแห่งเวทนา อะไรเป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร อานนท์ เวทนามี ๓ เหล่านี้คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา

    ดูกร อานนท์ เหล่านี้เราเรียกว่าเวทนา เพราะผัสสะเกิดขึ้นเวทนาจึงเกิด เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งเวทนา

    สุข โสมนัสย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยเวทนาใด นี้เป็นคุณแห่งเวทนา เวทนาใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษแห่งเวทนา

    การกำจัด การละฉันทราคะในเวทนาใด นี้เป็นอุบายเครื่องสลัดออกแห่งเวทนา

    ท่านที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล และยังไม่ได้เจริญสติ ไม่เห็นโทษของเวทนาเลย อาจจะเห็นโทษของทุกขเวทนาเท่านั้น แต่ปรารถนาในสุขเวทนาอย่างยิ่ง ขณะที่มีทุกขเวทนาเกิดขึ้นต้องการอะไร ต้องการสุขทันที เวลาที่มีสุขเวทนาต้องการอะไร ต้องการให้สุขอีกเรื่อยๆ ไม่ได้ต้องการทุกขเวทนาเลย นี่เป็นลักษณะของผู้ที่ไม่ได้รู้ในคุณ ในโทษ ในเหตุเกิดของเวทนา ในหนทางข้อปฏิบัติที่จะดับเวทนา ยังไม่เห็นว่าการดับเวทนาหมดสิ้น เป็นความเย็นสนิท เป็นความสงบอย่างยิ่ง ดีอะไร เดี๋ยวสุข นิดเดียวเท่านั้น แล้วก็เดี๋ยวทุกข์อีกแล้ว แล้วก็เดี๋ยวเฉยๆ อีกแล้ว แล้วก็เดี๋ยวตื่นเต้นดีใจ เต็มไปด้วยความสุขแต่ก็ไม่นาน หมดไปอีกแล้ว แล้วก็กลายเป็นความวิตก ความห่วงความกังวลในชีวิตอีกแล้ว หมุนเวียนเปลี่ยนไป ไม่ได้เคยหมดสิ้นไปเลย ก็มีแต่สภาพของความรู้สึกกับการต่างๆ เกิดขึ้นแล้วก็หมดไปๆ ถ้าไม่รู้ความจริงข้อนี้ ก็ยังคงต้องการอยู่อย่างนี้แหละเรื่อยๆ ไป แต่ว่าอยากจะได้ประเภทที่เป็นสุขมากๆ หน่อย แล้วก็ประเภททุกข์ก็ไม่อยากจะได้เลย หรือว่าถ้ายังไม่ใช่สุขก็ขอให้เป็นประเภทอุเบกขา แต่ว่าสภาพธรรมทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ถึงแม้ว่าผู้ใดจะเสวยสุขเวทนามากสักเท่าไหร่ สุขเวทนานั้นเป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยง ไม่ควรที่จะแสวงหาสิ่งที่ว่างจากสาระหรือว่าไร้สาระ เพราะว่ามีปรากฏเพียงชั่วครู่แล้วก็ไม่มี มีแล้วก็หมดไป มีแล้วก็ไม่มีอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่ของที่มีจริงๆ ที่จะให้อยู่ตลอดไม่หมดสิ้นไปได้เลย มีความรู้สึกเป็นสุขอะไรบ้างที่ไม่หมดสิ้นเลยอยู่ได้เรื่อยๆ ตลอดไป

    สำหรับผู้ที่ไม่รู้ความจริงว่าเวทนาก็อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป ก็ยังคงต้องการความสุขที่เกิดดับสืบต่อติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ แต่ผู้ที่ประจักษ์ความจริงว่า แม้สุขเวทนานั้นก็ไม่เที่ยง เป็นผู้ที่รู้แจ้งในอริยสัจจธรรม ผู้นั้นต้องการที่ดับของเวทนา ไม่ต้องการให้มีเวทนาเกิด ไม่ว่าจะเป็นเวทนาประเภทใดทั้งสิ้น ที่ว่าเวทนาเป็นทุกข์ ก็เพราะไม่เที่ยง ไม่ใช่เพียงขั้นของทุกขเวทนาเท่านั้นที่ไม่เป็นทุกข์ แต่ว่าจะต้องประจักษ์ทุกขอริยสัจจ์ คือความไม่เที่ยงของเวทนานั้นเอง ที่กล่าวว่าเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะไม่เที่ยง


    หมายเลข 6184
    31 ก.ค. 2567