เห็นเวทนาในเวทนา ไม่ต้องไปนั่งนานๆ รอทุกขเวทนา


    และผู้ที่กล่าวว่าอีก ๕ ปีถึงจะไปสู่สำนักปฏิบัติ ก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงเข็ดการเจริญสติปัฏฐาน คงจะลำบากมากทุกข์มากหรืออะไรก็ไม่ทราบ แต่ว่าถ้าท่านผู้ใดเคยคิดว่า การเจริญสติปัฏฐานไม่ใช่ชีวิตปกติ ขอให้พิจารณาให้ละเอียด เป็นต้นว่า ถ้าท่านนั่งนานๆ รอคอยอะไรหรือเปล่า ปกติของท่านหรือเปล่า เป็นปกติเป็นชีวิตประจำวันหรือเปล่า ถ้านั่งฟังธรรม ก็เป็นเรื่องของปกติใช่ไหม ไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะทำวิปัสสนาด้วยการที่ไม่ทำอย่างอื่นเลยในชีวิตปกติประจำวัน แต่ว่าจะนั่งนานๆ จนกว่าจะเมื่อย คอยให้เมื่อย ลักษณะของการรอการคอยเป็นลักษณะของความต้องการ เป็นอภิชฌา เป็นตัณหา เป็นสมุทัยหรือเปล่า อยู่ดีๆ ก็นั่งคอย แต่ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นใจเต็มไปด้วยความหวังรอหวังคอย คอยอะไร คอยทุกขเวทนา เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานขณะที่เสวยสุขเวทนาก็รู้ว่าเสวยสุขขเวทนา ทำไมจะต้องไปนั่งนานๆ แล้วก็รอคอยด้วยความหวังให้เกิดทุกขเวทนาขึ้น ทำอย่างนั้นทำไม ในเมื่อขณะนั้นก็มีนาม มีรูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเกิดจากสืบต่อกันเพราะเหตุปัจจัย โดยที่ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถจะไปยับยั้ง ทุกคนที่กำลังเห็น มีเหตุปัจจัยในอดีตให้เห็นต่อไป ให้ได้ยินต่อไป ไม่ให้สิ้นสุดลงไป ไม่ให้จบภพชาตินี้ จึงได้ให้เห็นอยู่ ให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ ต่อไป ให้คิดนึก ให้เป็นสุขบ้าง ให้เป็นทุกข์บ้าง สุขเวทนาเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับ ไม่ใช่ไม่ดับ เพราะฉะนั้นทำไมถึงจะไปรอคอย นั่งนานๆ คอยให้เมื่อย คอยให้เป็นทุกข์ โดยที่ว่าในเวทนานุปัสสนานั้น แม้แต่ขณะที่กำลังเป็นสุขก็อย่าหลงลืมสติ เมื่อขณะที่สุขเวทนาเกิดขึ้น ก็ให้ระลึกรู้ว่า เสวยสุขเวทนา แล้วก็เป็นการเห็นเวทนาในเวทนา คือไม่เห็นความเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลในสภาพลักษณะของความรู้สึกที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เพราะฉะนั้นทุกท่านก็พิจารณาได้ ไปยากๆ ไปลำบากๆ ไปเข็ดอีก ๕ ปีถึงจะไป แล้วก็ดีมากดีเหลือเกิน แต่ว่าจะไม่เจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ เพราะฉะนั้นก็ไม่มีโอกาสที่ว่าจะรู้สุขเวทนา จะรู้ทุกขเวทนา หรือว่าจะรู้อทุกขมสุขเวทนาที่เกิดปรากฏเป็นปกติเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีทางที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ เพราะเหตุว่าถึงสุขเวทนาจะเกิด ก็ไม่ได้พิจารณา ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง ไปมุ่งหวังรอคอยให้เกิดทุกขเวทนาขึ้น


    หมายเลข 6191
    31 ก.ค. 2567