โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖
ข้อความต่อไปมีว่า
ใน ๓๖ ประการนั้น โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ เป็นไฉน คือ
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความสลาย และความดับของรูปทั้งหลายนั่นแล แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูปในก่อน และในบัดนี้ ทั้งหมดนั้นไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น โสมนัสเช่นนี้เราเรียกว่า โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ
บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของเสียงทั้งหลาย บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของกลิ่นทั้งหลาย บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของรสทั้งหลาย บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของโผฏฐัพพะทั้งหลายนั่นแล บุคคลเมื่อทราบความไม่เที่ยง ความแปรปรวน ความคลาย และความดับของธัมมารมณ์ทั้งหลายนั่นแล แล้วเห็นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า ธัมมารมณ์ในก่อน และในบัดนี้ ทั้งหมดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ย่อมเกิดโสมนัสขึ้น โสมนัสเช่นนี้เราเรียกว่า โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ เหล่านี้ โสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖
การเจริญสติปัฏฐาน พิจารณารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ถ้าเป็นญาณแล้วก็ประจักษ์ความเกิดขึ้น และดับไปของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส ของโผฏฐัพพารมณ์ ของธัมมารมณ์แล้วโสมนัส โสมนัสในขณะที่ประจักษ์ความเกิดดับของนามรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โสมนัสนั้นชื่อว่า อาศัยเนกขัมมะ เกิดกับมหากุศลจิต ญาณสัมมปยุตต์ ที่ประจักษ์ความเกิดขึ้นแล้วดับไปของนาม และรูป ไม่ใช่ให้ตกใจ ไม่ใช่ให้สะดุ้งแล้วไม่รู้อะไร ท่านผู้ฟังที่เจริญสติปัฏฐานควรจะทราบความมั่นคงของญาณ ชื่อว่าญาณ แล้วเป็นปัญญาที่มั่นคง ไม่ว่าสิ่งนั้นจะแปรเปลี่ยนจากอารมณ์ใดเป็นอารมณ์ใด จากสภาพที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นลักษณะของนามรูปแต่ละชนิดที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นลักษณะที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ญาณที่เป็นความมั่นคงนั้นไม่ว่าสภาพจะแปรอย่างไร ก็รู้ชัด มีความมั่นคงของญาณเกิดต่อไป ไม่ใช่ว่าสะดุ้งแล้วไม่รู้ อย่างนั้นจะไม่ใช่ญาณเลย การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติตั้งแต่เริ่ม ไม่ว่าสิ่งใดจะแปรสภาพไม่ว่าญาณใดจะเกิดขึ้น ความมั่นคงของญาณขั้นสูงๆ ก็จะได้สามารถแทงตลอดในสภาพของธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ตลอดไปอีก มิฉะนั้นแล้วก็จะต้องหยุดอยู่เพียงแค่นั้น ไม่สามารถที่จะแทงตลอดไปได้ เพราะเหตุว่าการพิจารณายังไม่ทั่ว ความรอบรู้ยังไม่ทั่ว เพราะฉะนั้นเมื่อสภาพนั้นปรากฏเกิดขึ้น แต่ว่าการไม่ได้พิจารณาจนชินก็ทำให้ญาณไม่มั่นคง ไม่สามารถที่จะแทงตลอดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏต่อไปถึงญาณขั้นสูงๆ ได้ แต่ละขั้นนั้นยาก และต้องชินจริงๆ เป็นการรู้ทั่ว รู้ชัดจริงๆ ไม่ใช่ไปหวังไปคอยว่าเมื่อไหร่จะสะดุ้ง เมื่อไหร่จะดับไป ก็จะได้สะดุ้งอะไรอย่างนั้น ไม่ใช่เป็นการคอยอย่างนั้นเลย แต่ว่าเป็นเรื่องของการที่เจริญปัญญารู้ชัดมากขึ้น และไม่ว่าสภาพนั้นจะประจักษ์ในลักษณะใด ญาณก็มั่นคง และก็แทงตลอดได้ต่อไปอีก
กุศลจิตมีเวทนาอะไรเกิดร่วมด้วย อุเบกขาก็ได้ โสมนัสก็ได้ แต่ไม่ใช่โทมนัส เวลาที่ประจักษ์การเกิดดับของนามรูป แล้วก็เกิดโสมนัสที่ประจักษ์ความจริง แสวงหาความจริงแล้วได้ประจักษ์ความจริงจะเกิดโสมนัสที่ประจักษ์ความจริงไหม ว่าสภาพนั้นเป็นอย่างนั้น และญาณก็มั่นคง เวทนาก็เป็นโสมนัส ที่เกิดกับมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ที่ประจักษ์การเกิดขึ้นแล้วดับไปของนามธรรม และรูปธรรม