อาศัยโสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ ละโสมนัสอาศัยเรือน ๖


    ในข้อนี้คือผู้มีพระภาคตรัสว่า ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ในทางดำเนินของสัตว์ ๓๖ นั้น พวกเธอจงอาศัยทางดำเนินของสัตว์นี้ละทางดำเนินของสัตว์นี้ นั่นเราอาศัยอะไรกล่าวแล้ว ต้องมีทางเดินแน่ที่ต่างกันของแต่ละคน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใน ๓๖ ประการนั้น พวกเธอจงอาศัยคืออิงโสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ นั้น แล้วละคือล่วงเสียซึ่งโทมนัสอาศัยเรือน ๖ นั้นอย่างนี้ ย่อมเป็นอันละโสมนัสนั้นได้ เป็นอันล่วงโสมนัสนั้นได้ เวลาที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส สัมผัส แล้วเกิดโสมนัสขึ้น อยากจะละไหม โสมนัสอาศัยเรือนพวกนี้อยากจะละไหม หรือว่าอยากจะมีมากๆ พิจารณา เวลาที่เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัส สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วเกิดโสมนัสขึ้น เป็นโสมนัสที่อาศัยเรือน เป็นไปกับความยินดีต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะซึ่งแสนสั้น ปรากฏนิดเดียวทางตา แล้วก็หมดไป ปรากฏนิดเดียวทางหู แล้วก็หมดไป ปรากฏนิดเดียวทางจมูก แล้วก็หมด ทางลิ้นแล้วก็หมด ทางกายเเล้วหมด เคยระลึกที่จะละ โสมนัสที่อาศัยเรือนเหล่านี้บ้างไหม หรือว่าอยากจะมีมากๆ อยากจะให้มีโสมนัสมากๆ ก็ไม่พ้น ก็เป็นทางดำเนินของสัตว์ที่ยังท่องเที่ยววนไป ในภพภูมิต่างๆ นั่นเอง แต่ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ใน ๓๖ ประการนั้น พวกเธอจงอาศัยคืออิงโสมนัสอาศัยเนกขัมมะ ๖ นั้นๆ แล้วละคือล่วงเสียซึ่งโสมนัสอาศัยเรือน ๖ นั้นๆ อย่างนี้ย่อมเป็นอันละโสมนัสนั้นๆ ได้ เป็นอันล่วงโสมนัสนั้นๆ ได้ ถ้ายังไม่อยากจะละ ก็พอกพูน ใครก็ละให้ไม่ได้ ใช่ไหม เมื่อต้องการโสมนัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เท่าไหร่ๆ ก็ไม่พอ ก็ต้องแสวงหาอยู่ทุกวันๆ เพิ่มขึ้นอีก ทางตาวันนี้โสมนัสที่ได้เห็นรูปอย่างนี้ ก็ยังไม่พอ พรุ่งนี้อยากจะมีมากๆ กว่านั้นอีก ไม่ได้ละโสมนัสที่อาศัยเรือนเลย แต่ว่าทางเดินของสัตว์โลกที่จะละโสมนัสอาศัยเรือนนั้นมี คืออาศัยโสมนัสที่อาศัยเนกขัมมะละโสมนัสที่อาศัยเรือน ถึงโสมนัสเวทนาจะเกิด ห้ามได้ไหม อย่าห้าม อย่าคิดจะห้าม นั่นเป็นอัตตา ไม่มีในพระพุทธศาสนาเลยที่ให้ใช้ตัวตนบังคับยับยั้งสภาพธรรมที่เกิดปรากฏแล้วเพราะเหตุปัจจัย โสมนัสมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นโสมนัสก็เกิดขึ้น ใครจะไปบังคับไปยับยั้งให้โสมนัสที่เกิดแล้วไม่ให้เกิดได้ไหม ไม่ได้ สะสมมาที่จะโสมนัสทางตาเวลาที่ได้เห็นสิ่งที่พอใจ เสียงที่พอใจ กลิ่นรสโผฏฐัพพะที่พอใจ แต่วิธีละ อาศัยโสมนัสที่อิงอาศัยเนกขัมมะ พิจารณารู้ลักษณะของสภาพความรู้สึกโสมนัสในขณะนั้นทันที แล้วรู้ชัดว่า เป็นแต่เพียงเวทนา จึงเห็นเวทนาในเวทนา ไม่ใช่เห็นตัวตนสัตว์บุคคลในเวทนา นี่เป็นเวทนานุปัสสนา หมายความว่า เมื่อความรู้สึกชนิดหนึ่งชนิดใดเกิดขึ้น ก็ระลึกรู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพความรู้สึกที่มีเป็นปกติ เปลี่ยนไปในวันหนึ่งๆ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ เป็นไปตามเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อโสมนัสเกิดปรากฏ สติก็ระลึกรู้เวทนาในเวทนา จึงจะละการที่จะสะสมพอกพูนต้องการโสมนัสที่อาศัยเรือนเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ วิธีที่ละ ไม่ใช่วิธีอื่น แต่เป็นการที่สติรู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าใครจะระงับยับยั้ง หรือว่าละด้วยวิธีอื่น ไม่มีทางสำเร็จเลยเพราะเหตุว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้หนทาง และได้แสดงหนทางไว้ว่า มีหนทางเดียวเท่านั้นที่จะละกิเลสให้ดับหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทได้ตามลำดับ ไม่ใช่ว่าฮวบฮาบก็ไปเป็นพระอรหันต์ เป็นไปไม่ได้เลย แต่ว่าจะต้องละคลายไปตามลำดับ ด้วยการเจริญสติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้โสมนัสเวทนาที่อาศัยเรือนในขณะนั้นที่เกิดขึ้นปรากฏ ก็ต้องอาศัยโสมนัสอาศัยเนกขัมมะละ ไม่ใช่อาศัยสมถภาวนา เพราะเหตุว่า แม้ว่าจะเป็นโสมนัสที่เกิดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และแม้ทางใจที่เป็นสมถภาวนา ก็จะต้องอาศัยโสมนัสที่อาศัยเนกขัมมะละโสมนัสที่อาศัยเรือนที่เป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มีข้อสงสัยไหมข้อความตอนนี้


    หมายเลข 6222
    2 ส.ค. 2567