อาศัยความเป็นผู้ไม่มีตัณหา ละอุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง


    พระธรรมเทศนาสมบูรณ์ ไม่ได้สิ้นสุดแค่เพียงแค่นั้น

    ข้อความต่อไปที่ว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงอาศัย คืออิงความเป็นผู้ไม่มีตัณหา แล้วละ คือล่วงเสียซึ่งอุเบกขาที่มีความเป็นหนึ่ง อาศัยอารมณ์เป็นหนึ่งนั้น อย่างนี้ ย่อมเป็นอันละอุเบกขานี้ได้ เป็นอันล่วงอุเบกขานี้ได้ ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า ในทางดำเนินของสัตว์ ๓๖ นั้น พวกเธอจงอาศัยทางดำเนินของสัตว์นี้ ละทางดำเนินของสัตว์นี้ นั่นเราอาศัยการละ การล่วง ดังนี้ กล่าวแล้ว ฯ

    ไม่ใช่เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดที่เป็นอุเบกขาอาศัยอารมณ์หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นรูปฌานหรืออรูปฌาน แต่ว่าที่ถูกแล้วควรอาศัยอุเบกขาที่ละตัญหา ละความยินดีความพอใจในอุเบกขาที่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง

    อากาสานัญจายตนะไม่ใช่เป็นไปทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ อากิญจัญญายตนะ วิญญาณัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นไปในธรรมารมณ์ และเป็นทางมโนทวารทวารเดียว ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามตาหูจมูกลิ้นกายใจซึ่งเป็นระยะที่สั้นมาก การที่จะได้รับโสมนัสทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ชั่วขณะเล็กน้อยมาก แต่ว่าการที่จะได้รับความสงบใจโดยการเจริญสมถภาวนานั้นนานกว่า มากกว่ารูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ แต่ว่าไม่ใช่เป็นที่สุดของพระธรรมเทศนา

    ต้องละหมด เพราะว่ายังเป็นไปกับความยินดี ผู้ที่เจริญสมถภาวนาถึงแม้ว่าจะบรรลุปฐมฌาน ก็ยินดีในปฐมฌาน ยึดถือปฐมฌานนั้นเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล เพราะเหตุว่าไม่รู้สภาพความเป็นอนัตตาที่เป็นลักษณะของนามธรรมแต่ละชนิด รูปธรรมแต่ละชนิด เพราะเหตุว่าที่ทุกคนยังยึดมั่นในตัวตน ก็เพราะลักษณะที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมปะปนกันอยู่ สับสนอยู่ อย่างทางตามีเห็น มีสีสันวรรณะ แต่ว่าผู้เจริญสติรู้ว่า สภาพเห็นเป็นสภาพรู้ทางตา สีสันวรรณะที่ปรากฏไม่ใช่สภาพรู้แต่เป็นของจริงที่ปรากฏทางตา บางท่านก็บอกว่าคนเห็นไม่เหมือนกัน บางคนก็ตาบอดสี เห็นสีไม่ครบ เห็นแต่เพียงบางสี จะกล่าวว่าการเห็นของคนนั้นจริงไหม แต่ว่าตามความเป็นจริงแล้วจะใช้คำว่าสี วรรณะ รูปอารมณ์ หรือว่าจะใช้พยัญชนะอะไรก็แล้วแต่ หมายถึงสภาพที่มีจริงที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ปรากฏทางหู ไม่ปรากฏทางจมูก เช่นเดียวกับเสียงเป็นของจริงที่ปรากฏทางหูเท่านั้น ไม่ปรากฏทางอื่น ที่ว่าสีสันวรรณะจริงนั้นจริงสำหรับใคร จริงสำหรับจักขุวิญญาณ เพราะจักจุวิญญาณเป็นธรรมชาติที่รู้สี เป็นจิตดวงหนึ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย อาศัยจักขุปสาท พร้อมกับเหตุปัจจัยอื่นเกิดขึ้นเห็นสีสันวรรณะต่างๆ การเห็นต้องเกิดที่จักขุปสาท จักจุปสาทอยู่ที่ใดก็เป็นปัจจัยให้เกิดการเห็นที่นั่น ข้างหลังนี่ไม่มีจักขุปสาท ดังนั้นจึงไม่มีการเห็นสิ่งที่อยู่ข้าง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตาม คำว่า สี ไม่ได้จำกัดว่าเป็นสีเขียวสีแดงสีอะไร แต่หมายความถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ปรากฏทางอื่น เพราะฉะนั้นสีสันวรรณะจริงนั้นจริงสำหรับจักขุวิญญาณที่กำลังเห็น ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน โดยนัยเดียวกัน เสียงเป็นของจริงสำหรับโสตวิญญาณ ไม่ใช่จริงสำหรับคนที่ได้ยินเสียงนั้น เพราะว่าจริงๆ แล้วคนไม่มี สัตว์บุคคลไม่มี เห็นเป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งเป็นสภาพรู้ สภาพรู้ทางตาก็เห็นสีสันวรรณะต่างๆ อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น และก็ดับไป ได้ยินก็เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่งซึ่งรู้เฉพาะเสียง ไม่รู้สี ไม่รู้กลิ่น โสตวิญญาณเกิดขึ้นรู้ลักษณะของเสียง เป็นผู้ที่ทำกิจได้ยินเสียงนั้นจริงๆ ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล แต่ว่าสภาพนามธรรมที่รู้เรื่องรู้ความหมายของคำที่ได้ยิน ของเสียงที่ได้ยิน โสตวิญญาณต้องดับไปแล้วมากมายหลายขณะ และมีจิตดวงอื่นเกิดสืบต่อกันแล้วก็รู้ความหมายของสิ่งที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นก็สับสนก่อนที่จะศึกษาธรรม สับสนในสภาพนามธรรม และรูปธรรมนี้ ไม่เข้าใจสภาพชีวิตจริงๆ ไม่รู้เรื่องในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ดังนั้นจึงยึดถือว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล แต่ที่จะไม่ยึดถือได้ก็จะต้องรู้ชัด และการศึกษาไม่ใช่มีเพียงขั้นปริยัติ แต่โดยนัยของการปฏิบัติก็เป็นการศึกษาด้วย


    หมายเลข 6233
    31 ก.ค. 2567