รู้แต่ทำไม่ได้เพราะเป็นหน้าที่ของปัญญาและโสภณเจตสิก
ผู้ฟัง ก็มีคำพูดบอกว่า รู้ว่าคำสอนนี้ดี แต่ทำไม่ได้ อย่างนี้คือการสะสม หรือไม่
ท่านอาจารย์ หมายความว่ารู้ไม่จริง และรู้ไม่หมด ถ้าทำไม่ได้คือมีความเป็นเรา แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไร แต่สามารถที่จะเข้าใจว่าแต่ละขณะเป็นธรรม เข้าใจให้ถูกต้องตามความเป็นจริง แม้ในขั้นต้นคือทุกอย่างเป็นธรรม
ผู้ฟัง ทางเสื่อมที่ว่าชอบนอน ชอบคุย ไม่หมั่น เกียจคร้าน โกรธง่าย รู้สึกจะมีทั้งหมด ทั้งๆ ที่รู้แต่ละไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ให้เราละ เราละไม่ได้แน่ การยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ละอะไรไม่ได้ ความไม่รู้ก็ละไม่ได้ เป็นหน้าที่ของปัญญา และโสภณเจตสิก
ผู้ฟัง ต้องเกิดจากการฟังอีก
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นปัญญาในพระศาสนานี้มี ๓ ขั้น ข้ามขั้นไม่ได้เลย สุตมยปัญญา ถ้าไม่มีการฟังเราไปคิดเอง คิดอย่างไรก็ไม่ได้ ขณะนี้เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับด้วย ไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย
ผู้ฟัง ในชาตินี้ที่เราเกิดมาแล้วได้ฟัง เราก็จะหลีกพ้นจากทางเสื่อมที่บอกว่า ชอบนอน ชอบคุย ถ้าเราสะสมใหม่ ไม่ต้องชอบนอน คือรู้ว่าถ้านอนไม่ถูกแล้ว หมายถึงว่างๆ แล้วไปนอน ไม่ได้หมายถึงตอนเย็นเลิกงาน ชาวบ้านเขานอนแล้วเรามานั่ง นั้นไม่ใช่ แล้วก็ชอบคุยเป็นเรื่องที่ทุกคนปรารถนา ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ชอบคุยจริงๆ คุยแม้กระทั่งฝนตก ฟ้าร้อง รถติด ก็คุย ซึ่งไม่ทราบว่าสาระอยู่ไหน แต่บุคคลที่คุยนั้นก็ยังไม่ทราบ ทีนี้หลังจากที่เราฟังแล้ว ก็จริงๆ นะ ฝนตก ฟ้าร้อง ไม่รู้มาบอกทำไม ก็ไม่ต้องบอกแล้ว เมื่อคืนรถติด นอนไม่หลับก็ไม่จำเป็นต้องมาพูดกับใครแล้ว ในความคิดเป็นอย่างนั้น นั่นเป็นการปฏิบัติธรรม หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องใช้ชื่อเลย จริงๆ แล้ว ธรรมเป็นธรรม