เริ่มที่จะเข้าใจเท่านั้นเอง ถ้าเข้าใจได้ก็เป็นประโยชน์


    ค่อยๆ ศึกษาไปโดยนัยของภูมิ เข้าใจไว้ตอนหนึ่ง แล้วต่อไปก็เข้าใจโดยนัยของเหตุ จะทำให้ไม่สับสนว่าเรากำลังพูดถึงอะไร พูดถึงภูมิ หรือพูดถึงเหตุ หรือพูดถึงชาติ

    เรากำลังเริ่มที่จะเข้าใจเท่านั้นเอง เรื่องใดที่เข้าใจได้ก็เป็นประโยชน์ เช่นกุศล และอกุศล สิ่งใดที่เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ ก็ต้องรู้ว่าเกินความสามารถ เช่น อกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบาก ถูกต้องไหม และกุศลกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบาก สำหรับกุศลวิบาก และอกุศลวิบากก็มีอยู่ทางตา ขณะที่กำลังเห็นสิ่งที่ดี กุศลวิบากเป็นผู้ที่รู้อารมณ์นั้น คืออิฎฐารมณ์ ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ดี อกุศลวิบากก็เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์นั้น แต่ใครสามารถจะบอกได้ว่าแต่ละขณะ อารมณ์นั้นเป็นอิฏฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ เมื่อบอกไม่ได้ ก็จบ ใช่ไหม หรือเราไปพยายามทำอย่างไรให้เราสามารถจะบอกได้ เช่นเดียวกับ ตทาลัมพนะ และอีกหลายเรื่องซึ่งเราจะได้พิจารณาเฉพาะปัญญาของเราเอง ถ้าปัญญาของเราสามารถที่จะเข้าใจได้ควรพิจารณา ควรอบรม แต่ถ้าเราไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ วันนี้เรามานั่งคิดว่า กำลังเห็นขณะนี้ เดี๋ยวนี้ และเห็นขณะนั้น เดี๋ยวนั้น ขณะไหนเป็นกุศลวิบาก ขณะไหนเป็นอกุศลวิบาก เราจะได้รับประโยชน์อะไร เพราะเหตุว่าวิบากจิต เช่นจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ เกิดก่อนกุศล และอกุศล เพราะฉะนั้นถึงจะเกิดความติดข้องในสิ่งที่เห็น แต่จะบอกได้ไหมว่า เราติดข้องในสิ่งที่เป็นอิฏฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ เราก็พอจะประมาณส่วนใหญ่เท่านั้นเอง

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 46


    หมายเลข 6360
    18 ม.ค. 2567