โลภะเป็นสมุทัยเป็นสิ่งที่ควรละ แล้วควรจะรู้ด้วยหรือไม่


    บางท่านก็อาจจะคิดถึงอริยสัจจ์ ๔ คือ

    ๑. ทุกขอริยสัจจะ เป็นสิ่งที่ควรพิจารณารู้ กำหนดรู้

    ๒. สมุทยอริยสัจจะ ได้แก่ตัณหา หรือโลภะซึ่งเป็นสิ่งที่ควรละ

    ๓. นิโรธสัจจะ ได้แก่นิพพาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง

    ๔. นิโรธคามินีปฏิปทา เป็นการเจริญมรรคมีองค์ ๘ อริยสัจที่ ๔ มรรคมีองค์ ๘ นั้นเป็นสิ่งที่ควรเจริญ

    บางท่านอาจจะมีความสงสัยแทรกขึ้นมาว่า ก็ทรงแสดงไว้ว่า ตัณหา โลภะเป็นสิ่งที่ควรละจะรู้ได้หรือ ควรรู้หรือไม่ควรรู้ หรือว่าควรละอย่างเดียว ต้องพิจารณาถึงเหตุผลด้วยว่า ในอริยสัจจ์ ๔ นั้น ทรงแสดงเรื่องของเหตุ และผล แต่ไม่ใช่หมายความว่า เมื่อสมุทยสัจจ์ คือ โลภะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วจะไม่ให้รู้โลภะ ให้รู้แต่ทุกข์ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

    เรื่องของการละสมุทยสัจจ์ ละถึงอนุสัย ด้วยการระลึกรู้สภาพที่เป็นทุกข์ โลภะเป็นสังขารธรรมหรือไม่ เป็นสังขารธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาทั้งนั้น

    เพราะฉะนั้น โลภะก็มีการเกิดขึ้น มีการดับไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไมใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จึงควรระลึกรู้ลักษณะของโลภะด้วย ไม่ใช่ว่าเมื่อศึกษาเรื่องของอริยสัจจธรรมแล้ว จะไปรู้อย่างอื่นทั้งหมดเว้นโลภะเสีย เพราะได้ฟังมาว่าโลภะนั้นเป็นสมุทยสัจจะ แต่ว่าสมุทยสัจจะที่จะละ คือ ละถึงอนุสัยด้วยการพิจารณารู้สภาพลักษณะของโลภะที่เป็นทุกขอริยสัจจะด้วย


    หมายเลข 6397
    31 ก.ค. 2567