มหาราหุโลวาทสูตร
มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ มหาราหุโลวาทสูตร มีข้อความว่า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน พระผู้มีพระภาคเสด็จไปบิณฑบาต มีท่านพระราหุลตามไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ พระผู้มีพระภาครับสั่งกับท่านพระราหุล เรื่องรูปไม่เที่ยง
ท่านพระราหุลได้กราบทูลถามว่า
รูปเท่านั้นหรือพระเจ้าข้า ที่ไม่เที่ยง
ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสต่อไปถึง
ทั้งเวทนา ทั้งสัญญา ทั้งสังขาร ทั้งวิญญาณว่า ไม่เที่ยง
เมื่อท่านพระราหุลได้รับพระโอวาท ได้กลับไปเจริญสมณธรรม ท่านพระสารีบุตรก็ได้บอกให้ท่านเจริญอานาปานสติ ก็เป็นชีวิตปกติธรรมดา ซึ่งตอนเย็นท่านได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลถามว่า
อานาปานสติเจริญอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงจะมีผล มีอานิสงส์
ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ให้ท่านพระราหุลพิจารณารู้ลักษณะของธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม นอกจากนั้นก็ยังให้ท่านพระราหุลเจริญเมตตาภาวนาเพื่อละพยาบาท เจริญกรุณาภาวนาเพื่อละวิหิงสา เจริญมุทิตาภาวนาเพื่อละอรติ เจริญอุเบกขาภาวนาเพื่อละปฏิฆะ เจริญอสุภภาวนาเพื่อละราคะ เจริญอนิจจสัญญาภาวนาเพื่อละอัสมิมานะ และตอนสุดท้ายก็ได้ให้ท่านพระราหุลเจริญอานาปานสติ
เจาะจงหรือไม่ว่า จะต้องเป็นบรรพนั้น บรรพนี้ เฉพาะแค่ทางตา หรือทางหูเท่านั้น ไม่ให้เลยไปถึงพยาบาท ไม่ให้เลยไปถึงอรติ ซึ่งเป็นเรื่องชีวิตปกติธรรมดา ซึ่งใครก็กั้นไม่ได้ ห้ามไม่ได้ เพราะเหตุว่าแม้ในขณะที่เจริญเมตตา ผู้ที่มีปกติเจริญสติ สติก็สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปที่เกิดปรากฏในขณะนั้น และสามารถรู้ชัด และละคลายการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตนได้