อินทริยภาวนาสูตร
มีข้อความในพระสูตรหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนถึงการเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่มีวิธีอื่นที่จะไปกล่าวอ้างว่าจะต้องทำอย่างนั้น จะต้องทำอย่างนี้ ให้ผิดไปจากชีวิตปกติประจำวัน
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อินทริยภาวนาสูตร มีข้อความว่า
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังกลา ครั้งนั้น อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคตรัสถามอุตตรมาณพว่า
ปาราสิริยพราหมณ์ แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า
การเจริญอินทรีย์นี้ หมายความถึงศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งจะต้องอบรมให้แก่กล้า เพื่อจะได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อมีเจ้าสำนักมากมายหลายแห่ง และอุตตรมาณพซึ่งเป็นศิษย์ของพราหมณ์ปาราสิริยะได้ไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงอนุเคราะห์เกื้อกูลด้วยการถามว่า ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือไม่
อุตตรมาณพกราบทูลว่า
ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวก
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์อย่างไร ด้วยประการใด
อุตตรมาณพก็ได้กราบทูลว่า
ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต
กั้นไว้อีกแล้ว ไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยิน คิดว่าเป็นวิธีหนึ่งซึ่งจะอบรมอินทรีย์
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร อุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริย พราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ
แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ในครั้งพุทธกาลซึ่งพระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ก็ยังมีคนที่เข้าใจการอบรมอินทรีย์ผิด ถ้าเป็นผู้ที่สนใจในการอบรมศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาจริงๆ ก็กราบทูลถามได้ เพื่อจะได้ประพฤติให้สมควรแก่ผลที่จะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม