รู้ความต่างของสติขั้นต่างๆ ในขั้นการฟัง
เรื่องของพยัญชนะเป็นเรื่องที่กว่าเราจะไตร่ตรองให้เข้าใจถูกตามที่ทรงแสดง เช่น สติเป็นโสภณเจตสิกเกิดกับโสภณจิตทั้งหมด และสติปัฏฐาน หรือสติสัมปชัญญะก็คือขณะที่กำลังรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นี้คือความต่างแล้ว ซึ่งจากการฟังที่จะรู้ว่า แต่ก่อนนี้เราไม่เคยรู้เลยว่าที่กำลังให้ทานไม่ใช่เรา แต่เพราะโสภณเจตสิก เช่น สติ หิริ โอตตัปปะเกิดไปในกุศล คือการให้ในขณะนั้น การให้ขณะนั้นจึงมีได้ ขณะนี้คือหลังจากที่ฟังแล้ว แต่ก่อนฟังไม่เคยรู้อย่างนี้ ถึงแม้ฟังแล้วก็ใช่ว่าเราสามารถจะรู้ลักษณะของสติขั้นทาน ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิดระลึก เพราะฉะนั้นแล้วเราจะรู้ได้ หรือไม่ ขณะที่กำลังให้ทาน เวทนาก็มี แล้วสภาพธรรมหลายอย่างก็มี รูปก็มี แล้วก็สติสัมปชัญญะจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมใดย่อมได้ เพราะเหตุว่าไม่ใช่เราที่สามารถจะบังคับบัญชาได้ นี่คือขั้นการฟัง แล้วเวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด ทุกคนรู้ว่าเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์โดยชื่อ แต่เรารู้ หรือไม่ว่าขณะนั้นมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เพียงแค่สติสัมปชัญญะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ มองไม่เห็นเลยใช่ หรือไม่ เพราะว่าปัญญาที่สติปัฏฐานเริ่มที่จะระลึกลักษณะของสภาพธรรรม ไม่ใช่ขั้นที่สะสมอบรมจนคม จนชัด จนรู้แจ้ง จนประจักษ์
เพราะฉะนั้น โดยการศึกษาทราบว่าขณะนั้นเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ นี้คือเทียบเคียงปัญญาต่างขั้นว่าขั้นฟังต้องเป็นมหากุศลแน่นอน และต้องประกอบด้วยปัญญาด้วย เพระเหตุว่า ไม่ว่าจะเป็นสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา จะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น ขณะนั้นปัญญาอะไร สงสัย หรือไม่ แค่ไหน มี หรือไม่ ขณะที่สติระลึก เพราะลักษณะของสติปรากฏ เพราะเป็นสภาพที่กำลังระลึกจะใช้คำว่ารู้ลักษณะที่กำลังปรากฏด้วยความเข้าใจในลักษณะนั้น แต่ว่าจะต้องเริ่มจากขั้นที่ว่าแม้ขณะนั้นมหากุศลญาณสัมปยุตต์เริ่มมีตรงไหน ตรงที่รู้ว่าขณะนั้นเป็นสิ่งที่มีจริงที่เคยได้ยินได้ฟังว่าสติระลึกได้ ไม่ใช่ไประลึกอื่น
บางท่านอาจจะไปท่อง อย่างนั้นแสดงว่าไม่ได้เข้าใจเลยว่าสติสัมปชัญญะไม่ใช่ไปนั่งท่องถึงเรื่องราวของสภาพธรรม แต่มีความเห็นถูก เพราะฉะนั้นต่างกันแล้ว กำลังท่องกับความเห็นถูกไม่ใช่ท่อง ขณะนี้คือความต่างระดับหนึ่ง ไม่ใช่ท่องเพราะเหตุว่ามีสภาพธรรมปรากฏ เช่น แข็ง ไม่ต้องไปนั่งท่องว่าแข็ง ไม่ต้องไปนั่งคิดว่าแข็งเป็นรูปธรรม ไม่ต้องไปคิดว่าแข็งเป็นอนัตตา ไม่ต้องคิดว่าสภาพที่รู้แข็งเป็นนามธรรม แต่ก็ห้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้นผู้นั้นจะเริ่มเห็นความต่างกันของสติสัมปชัญญะระลึกลักษณะที่แข็งนิดหน่อย แล้วคิดต่อยาว แต่คนนั้นก็จะรู้ว่าคิดขณะนั้นไม่ใช่การรู้ความเป็นอนัตตา ความเป็นสภาพคิด เพราะเหตุว่าทันทีที่สติสัมปชัญญะที่ระลึกที่แข็งหมด ความคิดนั้นเป็นเรา เพราะยังไม่ชินต่อการที่จะรู้ว่าแม้ความคิดที่เกิดต่อก็คือนามธรรมชนิดหนึ่ง จากที่เคยได้ฟังมาแล้วทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ความละเอียดก็คือว่า ปัญญามีในขณะนั้นเพราะรู้ว่าสิ่งที่มีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่สติระลึกได้ เป็นสิ่งที่เมื่อสติระลึกก็จะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้น เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าปัญญาจะค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับ จากความเข้าใจ จากสิ่งที่เราได้ยินได้ฟัง แต่ไม่ได้ปรากฏ ตราบใดที่ปัญญายังไม่อบรมพอที่จะปรากฏได้ แต่ให้รู้ว่าแม้ปัญญาที่เกิดพร้อมมหากุศลญาณสัมปยุตต์ ที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม รู้อะไร แค่ไหน อย่างไร ผู้นั้นก็รู้ตรงตามความเป็นจริงยิ่งขึ้น
ที่มา ...