ขณะนี้มีปัจจัย แต่เข้าใจสภาพธรรมก่อนโดยที่ยังไม่ต้องใส่ชื่อ


    จริงๆ แล้ว ขณะนี้ที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ จะปราศจากปัจจัยไม่ได้เลย และก็มีปัจจัยมากด้วย แต่ว่ายังไม่ถึงกาละที่เราจะกล่าวถึงปัจจัยโดยละเอียด เพราะมีเหตุว่าเราจะต้องมีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมให้มั่นคง เพราะฉะนั้น เวลานี้มีปัจจัย แต่เพียงเรายังไม่ได้กล่าวชื่อของปัจจัยเท่านั้นเอง เช่น ขณะที่กำลังเห็น จะไม่มีปัจจัยไม่ได้เลย เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาต้องมีเมื่อจิตเห็น จะกล่าวว่ามีจิตเห็นโดยที่ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้จิตประเภทนี้เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้จิตประเภทอื่นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นในลักษณะนี้เราก็จะเข้าใจความหมาย แม้ว่าเรายังไม่ได้กล่าวว่าเป็นอารัมมณปัจจัย เพียงแต่เรารู้ว่าเวลาที่มีจิตเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ สิ่งที่ถูกจิตรู้ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น เป็นปัจจัยโดยที่เป็นอารัมมณปัจจัย คือเป็นอารมณ์ของจิตขณะนั้น และสำหรับจิตเห็นก็ยังต้องมีจักขุปสาทด้วย เราไม่ได้กล่าวชื่อปัจจัย แต่เราเข้าใจถูกต้องว่า เวลาที่มีจิตเกิดขึ้นต้องมีสิ่งที่ถูกจิตรู้ และสิ่งที่ถูกจิตรู้ไม่ว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น เป็นปัจจัยที่โดยอารัมมณปัจจัย คือเป็นอารมณ์ของจิตขณะนั้น และสำหรับจิตเห็นก็ยังต้องมีจักขุปสาทด้วย เราไม่ได้กล่าวชื่อปัจจัย แต่เราเข้าใจถูกต้องว่า ถ้าไม่มีจักขุปสาท จิตเห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้ หรือเราจะได้ทราบมาแล้วว่า ก่อนที่จิตเห็นจะเกิดขึ้น ปัญจทวาราวัชชนจิตคือวิถีจิตแรกต่อจากภวังคุปัจเฉทะต้องเกิดก่อน และเมื่อวิถีจิตแรกคือปัญจทวาราวัชชนจิตดับแล้วจิตเห็นจึงเกิดขึ้น ความเป็นปัจจัยของปัญจทวาราวัชชนะที่มีต่อจิตเห็นที่เกิดก็เป็นโดยอนันตรปัจจัย คือเราไม่ได้ใส่ชื่อเท่านั้นเอง แต่ว่าเราจะมีความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมก่อน และภายหลัง "ชื่อ" ก็เป็นสิ่งที่เราได้เข้าใจมาแล้วนั่นเอง

    เพราะฉะนั้น ภาษาไทยที่กล่าวสั้นๆ บุคคลนี้นิสัยเป็นอย่างไร เราก็หมายความถึง โลภะ โทสะ หรือโกรธ หรือฉลาด หรือมีปัญญา หรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นนิสัยของแต่ละบุคคล ไม่ใช่ว่าเกิดได้เองโดยที่ไม่มีการสั่งสม หรือว่าไม่เคยเกิดมาก่อน เพราะฉะนั้น แต่ละบุคคลมีโลภะ บางคนมาก บางคนน้อย บางคนมีในรูปทางตา บางคนมีในเสียง บางคนมีในกลิ่น บางคนมีในรส บางคนมีในสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ก็เป็นสิ่งซึ่งเราสามารถที่จะรู้ได้ว่าแต่ละคนมีอัธยาศัยต่างกันในภาษาไทย เพราะเหตุว่าเกิดขึ้นบ่อยๆ ซ้ำๆ จนกระทั่งมีปัจจัยที่จะเกิดอีก เกิดอีก เรื่อยๆ ตามการสั่งสม อย่างนี้เราก็นำคำมาใช้ว่า "นิสัย" แต่ถ้าเราจะพูดตามภาษาบาลีที่เป็นปัจจัยคือ "อุปนิสสยปัจจัย" แต่ก็ยังไม่ต้องกล่าวถึงก็ได้ เพียงแต่ว่าให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมก่อน และชื่อของปัจจัยก็จะมาตามลำดับที่ละเอียดขึ้นกว่านี้

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 52


    หมายเลข 6516
    18 ม.ค. 2567