ทุกขทุกข - ทุกขเวทนา และ โทมนัสเวทนา -พฐ.53
ท่านอาจารย์ วันหนึ่งๆ เราไม่ได้รู้ ทุกขะทุกขะ วิปรินามทุกข์ และสังขารทุกข์ แต่ว่าถ้าทุกข์เกิดเมื่อไหร่ที่เราพอจะรู้ได้ ก็คือทุกขะทุกขะที่เป็นทุกข์กาย และทุกข์ใจมี หรือไม่ ปวด เจ็บ เมื่อย ชาติอะไร ชาติวิบาก ทุกคนก็เข้าใจแล้ว ตอนนี้ผลของกรรมทำให้มีกายปสาทรูป แล้วเมื่อถึงกาละที่เป็นการให้ผลของอกุศลกรรม ก็จะทำให้กระทบกับธาตุดิน หรือธาตุไฟ หรือธาตุลม ดิน ไฟ ลม ซึ่งทำให้เกิดทุกข์ทางกาย เราไม่รู้เลยว่าทุกข์ขณะนั้นมากจากไหน แต่เพราะมีกายปสาทเป็นปัจจัย ทำให้โอกาสของอกุศลกรรมซึ่งถึงกาละที่สุกงอมพร้อมจะให้ผล รูปก็กระทบกับกายปสาท ทำให้กายวิญญาณเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นทุกขเวทนาสำหรับทางกาย เป็นทุกขะทุกขะ และทุกข์ใจเคยมี หรือไม่ ไม่มีใครที่จะบอกว่าไม่มี ใช่ หรือไม่ มาก หรือน้อยแม้แต่เพียงนิดหน่อยเล็กน้อย ขณะนั้นก็เป็นทุกข์ จะกล่าวว่าเป็นสุขไม่ได้เลย ขณะที่กำลังทุกข์ใจ ทางกายปวด หรือไม่ ไม่ปวด
ผู้ฟัง ก็อาจจะเป็นผลได้
ท่านอาจารย์ คนละขณะแล้ว คนละประเภท ขณะนี้คือความละเอียดที่เราจะศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นเราในวันหนึ่งๆ ให้เข้าใจโดยละเอียด โดยความต่างของขณะจิต ถ้ากล่าวถึงทุกข์ใจ กายปวด หรือไม่ ไม่ปวด เจ็บ หรือไม่ ไม่เจ็บ คัน หรือไม่ ไม่เลย สบายทุกอย่าง แต่ใจเป็นทุกข์ เป็นโทมนัสเวทนา ด้วยเหตุนี้จึงแยกเวทนาโดยนัย ๓ คือ สุข ๑ ทุกข์ ๑ อุเบกขา หรืออทุกขมสุข ๑ ในเรื่องของความรู้สึกก็จะเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าแยกละเอียดขึ้นจะเป็น ๕ คือแยกสุขเป็นกายกับใจ แยกทุกข์ก็เป็นกายกับใจ เพราะตามจริงแล้วก็ต้องต่าง เพราะว่าแม้พระอรหันต์ก็ต้องมีทุกข์กาย แต่ไม่มีทุกข์ใจ เพราะฉะนั้นทุกข์ใจก็คือโทมนัสเวทนา มีความรู้สึกที่ไม่สบายใจนิดหนึ่ง ก็ใช่ จะกล่าวว่าเป็นสุขไม่ได้เลย
ที่มา ...