สติกับปัญญาเป็นธรรมชาติคนละอย่างแต่อาศัยซึ่งกันและกัน
ผู้ฟัง (ไม่ได้ยิน)
ท่านอาจารย์ ระลึกรู้ลักษณะของนามแต่ละชนิด ไม่ปนกัน ระลึกรู้ลักษณะของรูปแต่ละชนิด ไม่ปนกัน จึงจะประจักษ์ว่าไม่ใช่ตัวตน เมื่อละคลายมากขึ้น รู้สภาพธรรมที่เกิดดับสืบต่อกันตามปกติมากเท่าไร คลายมากเท่าไร ก็จะประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป ไม่มีอะไรบังไว้
ผู้ฟัง รู้เอง
ท่านอาจารย์ อาศัยการเจริญสติ แล้วปัญญาก็เกิดพร้อมกับสติที่ระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นการเจริญปัญญา ประจักษ์การเกิดขึ้น และดับไป ไม่ใช่ด้วยสมาธิ แต่เป็นปัญญาที่รู้ชัด ชื่อว่าวิปัสสนาญาณ อาศัยการเจริญสติแล้วรู้ลักษณะของนาม และรูปมากขึ้น ชัดขึ้น ทั่วขึ้น
ผู้ฟัง รู้อย่างไร เร็วเหลือเกิน จับไม่ได้สักที
ท่านอาจารย์ อยากจะประจักษ์การเกิดดับของนามรูปใช่ไหม โดยที่ไม่เจริญสติหรือ
ผู้ฟัง มีสติสักแค่ไหน
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่สติแค่ไหน แต่หมายความว่า ปัญญารู้ชัดเพิ่มขึ้นโดยที่สติระลึกรู้ลักษณะของนาม ปัญญาก็รู้ว่าเป็นนาม
ผู้ฟัง เป็นธรรมชาติคนละอย่าง
ท่านอาจารย์ ธรรมชาติคนละอย่าง แต่อาศัยซึ่งกัน และกัน ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนาม ปัญญาจะรู้ว่าเป็นนามไม่ได้ ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของรูป ปัญญาจะรู้ว่าเป็นรูปไม่ได้ สติกับปัญญาไม่แยกกันเลย