ประโยชน์สูงสุดคือเพื่อเข้าใจลักษณะธรรมที่มี
คุณอุไรวรรณ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วท่านอาจารย์ได้เริ่มเรื่องการจำแนกจิต อเหตุกะ กับ สเหตุกะ วันนี้ก็จะได้สนทนาต่อไปในรายละเอียดเรื่อง อเหตุกะ และสเหตุกะ
ท่านอาจารย์ การที่กล่าวถึงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เข้าใจ แม้แต่จิตที่มีอยู่ ก็ไม่เคยคิดว่า จิตขณะไหนเป็นชาติใด หรือเป็นภูมิใด ใช่ไหม เพราะไม่เคยรู้เรื่องจิตเลย เพราะฉะนั้น การที่เรากล่าวเรื่องจิตโดยนัยต่างๆ ก็เพื่อให้เข้าใจสภาพของจิตซึ่งมีจริงๆ เพื่อนำไปสู่การรู้แจ้งลักษณะสภาพธรรมของจิต ไม่ใช่เพียงแต่ศึกษาจิตโดยนัยต่างๆ ทั้งๆ ที่จิตนัยต่างๆ โดยชาติ โดยภูมิ ก็กำลังกำลังเกิดขึ้น ปรากฏในขณะนี้ แต่สั้นมาก และรวดเร็วมาก เพราะฉะนั้น ก็ยากแสนยากที่ใครสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่เกิดแล้วดับอย่างรวดเร็ว แต่อาศัยการฟัง และพิจารณาสิ่งที่มีจริงที่เกิดกับตน และก็เริ่มจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมโดยความเป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม กว่าจะห่างจากความเป็นเราในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เป็นเรื่องซึ่งแต่ละท่านก็สามารถจะพิจารณาได้ว่า ความเข้าใจขั้นการฟังนั้นเริ่มมีแน่นอน แต่การเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ที่กำลังฟังอยู่เริ่มต้น หรือยัง ถ้ายังไม่เริ่มต้นก็หมายความว่าจะต้องมีการฟัง และมีความเข้าใจด้วยความมั่นคงว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้ และประจักษ์แจ้งได้ด้วยปัญญาของแต่ละคน คือจะไปขอยืม หรือไปขอปัญญาใครมารู้ ไม่ได้ นั่นคือความเป็นตัวตน
แต่จะต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างที่ได้ฟังเป็นความจริงซึ่งค่อยๆ เข้าใจ และถ้าเคยได้อบรมความรู้ความเข้าใจมามากพอในอดีตชาติ นานมาแล้ว ซึ่งชาตินี้ก็จะเป็นอย่างนั้นในกาละข้างหน้า เพราะเหตุว่ามีการฟัง และมีการเข้าใจ และมีความมั่นคงในจุดประสงค์ที่จะได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยการประจักษ์ ไม่ใช่เพียงโดยขั้นการฟัง ก็จะทำให้เราพิจารณาธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ และก็มีลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏให้เห็นว่าตรง และจริงตามที่เราได้ยินได้ฟัง หรือไม่ แต่ปัญญาของแต่ละคนไม่สามารถที่จะถึงระดับขั้นของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก หรือพระมหาสาวก หรือแม้พระสาวกระดับขั้นสูง เช่น พระอรหันต์ จนกระทั่งถึงขั้นพระโสดาบัน ถ้ายังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าการที่ได้ฟังธรรมแล้ว ประโยชน์สูงสุดคือเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มี ไม่ใช่ไม่มี ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอย พูดไปแล้วก็ไม่มีลักษณะของสภาพธรรมใดปรากฏให้เข้าใจให้พิสูจน์ แต่แท้จริงแล้วทั้งวัน ทุกชาติก็มีลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ปรากฏกับความไม่รู้ คือ ไม่รู้ว่าลักษณะนั้นไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
ที่มา ...