การเจริญสติฯ ต้องเจริญมากมายเหลือเกิน
ผู้ฟัง คำว่า เปรี้ยว ความจริงทางโสตวิญญาณก็เป็นแต่เพียงเสียงเท่านั้นเอง แต่ในทันใดที่เสียงนี้เกิดขึ้น ก็รู้ความหมายทันทีว่าเปรี้ยวนี้เป็นอย่างไร และในขณะนั้น ในแวบเดียวนั้น ก็รู้ต่อไปอีกว่า ชอบหรือไม่ชอบ อภิชฌาหรือโทมนัสมาทันที ในเมื่อเราไม่สามารถจะรู้ทันเสียงหรือโสตวิญญาณ หรือไม่สามารถจะรู้ทันนามที่รู้เสียงนั้นได้ เราสามารถจะรู้นามที่รู้บัญญัตินั้นอีกต่อหนึ่งก็ยังได้ หรือว่าตรงนี้ยังไม่ทัน เมื่ออภิชฌาหรือโทมนัสอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น เรารู้ทันตรงนี้ก็ยังได้ หรือแม้ว่าทั้งหมดนี้รู้ไม่ทันเลย เราก็ระลึกรู้ต่อไปอีก ระลึกได้ทีหลังว่า เสียงที่ว่าเปรี้ยวนั้น เราก็รู้ตามความเป็นจริงว่าคือเสียง หรือว่าคือบัญญัติ หรือว่าความชอบ ไม่ชอบใจอะไรอย่างนี้ อย่างนี้จะพอได้ไหม
ท่านอาจารย์ การเจริญสติต้องเจริญมากมาย เพียงแต่รู้ได้ยินกับเสียงเท่านั้นก็ไม่พอ เวลาที่รู้เรื่อง นึกคิดไปต่างๆ สติก็จะต้องระลึกรู้ว่าเป็นนามธรรม หรือการที่รู้ความหมายของสิ่งหนึ่งสิ่งใด สติก็จะต้องรู้ว่าสภาพนั้นก็เป็นนามธรรม หรือมีความพอใจไม่พอใจเกิดขึ้น สติก็จะต้องระลึกรู้ว่าเป็นนามธรรม เพราะเหตุว่าการยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลนั้นหนาแน่นเหนียวแน่นเหลือเกินทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในวันหนึ่งๆ สติเกิดรู้ชัดในลักษณะของนามของรูปตามความเป็นจริงแล้วหรือยัง ทางไหนยังไม่ได้ระลึก ทางไหนยังไม่รู้ ไม่ใช่ว่ารู้เพียงแค่ได้ยิน หรือรู้เพียงแค่เสียง แม้แต่ที่กำลังเข้าใจเรื่องที่กำลังฟังอยู่ก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง
เพราะฉะนั้น กว่าจะมีปัญญาที่คมกล้า พอสติระลึกรู้นามชนิดหนึ่งชนิดใด รูปชนิดหนึ่งชนิดใดดับไปแล้ว มีนามอื่นเกิดต่อ สติก็รู้ในสภาพความเป็นนามนั้น มีรูปอื่นเกิดต่อ สติก็ระลึกรู้ในสภาพความเป็นรูปของรูปนั้น ไม่สงสัยคิดว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคคลเข้าไปแทรก ปัญญาต้องเจริญมากเหลือเกินก่อนที่จะถึงญาณเป็นขั้นๆ แล้วก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้