เทียบเคียงกับพระอริยเจ้าให้เห็นความต่างของโลภมูลจิต ๒ ประเภท


    ในขณะที่มีความยินดีความพอใจเกิดขึ้น แต่ไม่ได้เกิดร่วมกับความเห็นผิด ในขณะนั้นก็เป็นโลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์

    สิ่งที่ทำให้เห็นชัด คือ เทียบเคียงกับพระอริยเจ้า อย่างพระโสดาบันบุคคล มีโลภมูลจิตแต่ไม่มีทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ไม่มีความเห็นผิดใดๆ เกิดร่วมด้วย แต่ก็ยังเป็นสภาพของความพอใจ ความต้องการ ความชอบ ความยินดีในสิ่งที่เห็นทางตา ในเสียงที่ได้ยินทางหู

    พระโสดาบันไม่รู้หรือว่าเป็นเก้าอี้ พระโสดาบันรู้ แต่ท่านไม่มีสักกายทิฏฐิไม่มีความเห็นผิดใดๆ เลยนับตั้งแต่โสดาปัตติมรรคเกิดขึ้น เพราะเหตุว่า ท่านเจริญปัญญารู้ชัดในลักษณะของนามของรูป ท่านรู้ว่าการรู้ความหมายนั้นก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น และไม่มี โลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์เลย การเห็นของท่านก็เหมือนกับการเห็นของบุคคลอื่น ต่างกันที่อนุสัยกิเลส ทิฏฐานุสัยไม่มี วิจิกิจฉานุสัยไม่มี เพราะท่านเจริญสติแล้วท่านรู้ชัด ท่านรู้ความหมายของสิ่งที่เห็นเป็นปกติ แต่ท่านละทิฏฐิทั้งหมดไม่เกิดอีกเลยตั้งแต่ท่านเป็นพระอริยบุคคล แต่ยังมีความพอใจ มีความต้องการเกิดขึ้นได้ ยังพอใจในสีสันวัณณะของสิ่งนั้นสิ่งนี้ ของวัตถุสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่า นามทางตาเป็นอย่างไร รูปที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างไร แล้วที่รู้ความหมายนั้นที่ชอบที่ไม่ชอบนั่นก็เป็นแต่เพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง


    หมายเลข 6613
    31 ก.ค. 2567