ประโยชน์ในของการรู้ลักษณะของสราคจิต


    ข้อสำคัญก็คือท่านผู้ฟังอาจจะคิดสงสัยว่า จะมีประโยชน์อะไรในการรู้ลักษณะของสราคจิตซึ่งเป็นจิตของท่านเองทุกๆ วัน แต่ว่าความที่จะรู้โดยสงเคราะห์กับขั้นของปริยัติ ซึ่งบางขณะโลภมูลจิตนั้นก็เป็นไปเกิดพร้อมกับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏตลอดทั้งวันว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน การรู้ว่าเป็นโลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์ เป็นไปกับความเห็นผิดบ้าง หรือไม่เป็นไปกับความเห็นผิดบ้างนั้น จะมีประโยชน์อะไร บางท่านอาจจะคิดอย่างนี้ใช่ไหม หรือว่าไม่จำเป็นต้องรู้ จะมีความเห็นผิดร่วมด้วยหรือว่าไม่มีความเห็นผิดเกิดร่วมด้วยก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร หรือคิดว่ามีประโยชน์ ความรู้ทุกอย่างเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ถ้าสมมติวันหนึ่งๆ ไม่ทราบเลยว่าท่านมีสราคจิต หรือว่าโลภมูลจิต ท่านก็คงจะบอกคนอื่นใช่ไหมว่า ท่านก็ดีแล้ว โลภะก็ไม่มี โทสะก็ไม่มี อย่างที่หลายท่านที่ไม่ได้ศึกษาปริยัติธรรม ก็เข้าใจว่าตัวท่านเองนั้น ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เป็นผู้ที่มีกิเลสเบาบาง แต่เวลาที่ท่านศึกษาแล้วท่านทราบ รู้จักตัวของท่านเอง ละเอียดชัดเจนถูกต้องขึ้นว่าท่านยังมีกิเลสเต็มที่ทีเดียวทั้งโลภะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ การรู้ว่าท่านมีกิเลสประเภทใดบ้าง มากน้อยเท่าไหร่ กับการไม่รู้นั้นอย่างไหนจะดีกว่ากัน การรู้ก็ต้องดีกว่าใช่ไหม และก็สำหรับสราคจิตหรือโลภมูลจิตซึ่งบางครั้งบางขณะก็เป็นทิฏฐิคตวิปยุตต์ (ไม่เกิดร่วมกับความเห็นผิด) และบางครั้งบางขณะก็เป็นทิฏฐิคตสัมปยุตต์ (เกิดร่วมกับความเห็นผิด) นั้น ก็ยิ่งจะมีประโยชน์ ถ้าท่านทราบว่า ขณะไหนกำลังเป็นโลภมูลจิตประเภทใด เป็นต้นว่าทุกๆ วัน ท่านอาจจะไม่ทราบ ว่าท่านยังมีความเห็นผิดอยู่ ท่านอาจจะคิดว่าท่านเป็นพุทธศาสนิกชน มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว ไม่ได้เห็นผิดว่าบาปบุญไม่มีผล หรือว่าบาปไม่มี ผลของบาปของบุญไม่มี ท่านไม่ได้เชื่ออย่างนั้น ท่านก็เป็นผู้ศึกษา และเข้าใจธรรมแล้ว แต่ว่าความเห็นผิดนั้นมีมากมายหลายขั้น เช่นในขณะที่ไม่รู้ลักษณะของนาม ไม่รู้ลักษณะของรูป แล้วก็เกิดความเห็นที่ยึดถือสัตว์บุคคลตัวตนเกิดขึ้นในขณะใด ขณะนั้นเป็นโลภทิฏฐิคตสัมปยุตต์ ซึ่งถ้าท่านทราบ และรู้ชัดว่า ตัวท่านยังมี ประโยชน์มีแล้วคือว่า ท่านก็ย่อมมีความพากเพียรเกิดขึ้นที่จะละโลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิคตสัมปยุตต์ เป็นไปกับความเห็นผิดที่ยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นการรู้สภาพธรรม ถ้ายิ่งรู้ก็ยิ่งอุปการะทำให้ท่านดำเนินชีวิตในตามที่ถูกต้องขึ้น เป็นต้นว่าถ้าท่านทราบว่าวันหนึ่งๆ สติเกิดน้อย หรือว่าอาจจะไม่เกิดเลย หรือว่าอาจจะยังมีความเข้าใจผิดในข้อปฏิบัติที่เป็นมรรคมีองค์ ๘ อยู่ ท่านก็ควรที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อเจริญมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะละสักกายทิฏฐิ และทิฏฐิทั้งหมดได้ มิฉะนั้นก็ไม่มีโอกาสเลยที่จะละความเห็นผิดที่ยึดถือนามรูปว่าเป็นตัวตน

    ในเรื่องของจิตตานุปัสสนา ยิ่งท่านรู้จักตัวของท่านเอง รู้กิจการงานของอกุศลธรรม อกุศลจิตที่เกิดขึ้นในวันหนึ่งๆ มากเท่าไหร่ ก็จะเป็นประโยชน์ทำให้ท่านรู้ชัด และสามารถที่จะละคลายกิเลสได้ถูกต้อง ไม่ใช่ละข้ามขั้น คือละโดยที่ว่าจะเป็นพระอรหันต์ทีเดียว ไม่ให้มีโลภะเสียเลย หรือว่าจะไปละโทสะเป็นพระอนาคามีบุคคลคือไม่ให้เกิดโทสะเลย นั่นก็ไม่ใช่เรื่องการเจริญมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่การเจริญปัญญาเป็นขั้นๆ แต่ถ้าท่านรู้สภาพกิเลสตามความเป็นจริง เจริญกุศลให้ตรงซึ่งสามารถจะละกิเลสได้ ก็สามารถจะละกิเลสได้เป็นขั้นๆ


    หมายเลข 6639
    31 ก.ค. 2567