ยิ้มเพราะมีปัจจัยให้ยิ้ม แต่จะยิ้มเพราะจิตประเภทไหน
ผู้ฟัง ก็ได้กล่าวว่าหสิตุปปาทจิตไม่มีเหตุที่เกิด ซึ่งในทีนี้ก็หมายถึงว่าเหตุ ๖ แต่ว่าการที่ท่านจะมียิ้มก็ต้องมีมีปัจจัยอะไรอย่างหนึ่งใช่ไหมที่ทำให้ท่านยิ้มได้
ท่านอาจารย์ ปัจจัยนี้ไม่พ้นเลย ที่จะเกิดโดยไม่มีปัจจัยนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่ที่เราค่อยๆ ศึกษาเพื่อที่เราจะได้เข้าใจ และก็จำไปในตัวโดยที่ว่าไม่ต้องท่อง เช่นภวังคจิตนี้ไม่มีอะไรปรากฏ เพราะนั้นก่อนที่จะมีอะไรปรากฏที่จะเห็น จะได้ยิน ก็ต้องมีจิตซึ่งเป็นวิถีจิตแรก และต่อไปเมื่อเราพูดถึงเรื่องของกิริยาจิตทั้ง ๓ พอเข้าใจแล้วก็จะได้รู้ว่าเวลาที่กรรมให้ผล ให้ผลเมื่อไร อย่างไร และการยิ้มก็จะต้องยิ้มเมื่อเห็นแล้วใช่ไหม ได้ยินแล้วด้วย เพราะฉะนั้นก็มาประกอบกัน แต่ต้องตามลำดับ ว่าเวลานี้เราพอที่จะเข้าใจได้จำได้ว่ากิริยาจิตที่เป็นอเหตุกกิริยา ไม่ใช่มีเพียง ๒ ดวงคือปัญจทวาราวัชชนจิต และมโนทวาราวัชชนจิต ทุกคนมี ๒ จะเป็นพระอรหันต์ หรือไม่ใช่พระอรหันต์ก็ต้องมี แต่อเหตุกกิริยาประเภทสุดท้ายคือ ประเภทที่ ๓ คือหสิตุปปาทจิตมีเฉพาะพระอรหันต์เท่านั้น เพราะคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ยิ้มด้วยกุศลจิต หรืออกุศลจิตแต่ไม่ใช่กิริยาจิตแน่นอน และกิริยาจิตสำหรับพระอรหันต์ที่ทำให้ยิ้มก็ไม่ใช่เฉพาะหสิตุปปาทจิต เพราะสเหตุกกิริยาที่ประกอบด้วยโสมนัสที่เป็นกิริยาจิตก็เป็นเหตุให้ยิ้มด้วย
ที่มา ...