แต่โลกของแต่ละคนเป็นไปตามอำนาจจิตของตนๆ
ดูเหมือนว่าอยู่ร่วมโลก หรือว่าโลกเดียวกันนะคะ แต่ถ้าทราบตามความเป็นจริงว่า สิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นรูปธรรม มีปรากฏได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จริง แต่ถ้าไม่มีจิต ซึ่งเป็นสภาพรู้สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่เพราะจิตรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง โลกของแต่ละคนก็เป็นไปตามอำนาจจิตของแต่ละคน โลกไหนจะดี โลกที่สะสมกุศลมาก ๆ พร้อมที่จะเกิดเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือโลกที่ชิงชัง โกรธแค้น ขุ่นเคือง ซึ่งแม้ว่าจะเห็นบุคคลเดียวกัน จะรู้เรื่องบุคคลเดียวกัน โลกของแต่ละคนก็ย่อมเป็นไปตามอำนาจจิตของแต่ละคนที่สะสมมาต่าง ๆ กัน
สิ่งที่ปรากฏทางตา มีนะคะ ทำให้ดูเหมือนว่า อยู่ร่วมกันในโลกนี้มากมายหลายคน แล้วแต่กาละและเทศะ แต่ว่าถ้าประจักษ์ชัดในลักษณะของธาตุรู้ ซึ่งเป็นสภาพรู้ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏ ในขณะนั้นจะรู้ได้ว่า ชั่วขณะนั้นซึ่งเป็นเพียงการเห็น เป็นเฉพาะโลกของการเห็น ซึ่งไม่มีคน ไม่มีสัตว์เลย ไม่มีวัตถุสิ่งต่าง ๆ เพราะเหตุว่าในขณะนั้นเพียงเห็น ยังไม่ได้นึกถึงรูปร่างสัณฐานและเรื่องราวใด ๆ ของสิ่งที่เห็น
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าทั้งหมดนี้ ที่เข้าใจว่าเป็นโลกซึ่งเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนมากมายหลายคน หลายวัตถุสิ่งของต่าง ๆ ในโลก เป็นโลกของความคิดนึกถึงสิ่งที่เห็นที่กำลังปรากฏ แต่ว่าในขณะที่เห็นนั้นเป็นโลกหนึ่งคือโลกของสิ่งที่ปรากฏทางตา ยังไม่ใช่โลกของความคิดนึกถึงสิ่งที่ปรากฏ แล้วแต่ละคนก็มีจิตเกิดขึ้นเพียงขณะเดียว ๆ ๆ ๆ สืบต่อกันไปทีละขณะ จนปรากฏเหมือนกับว่า เป็นโลกที่กว้างใหญ่และประกอบด้วยผู้คนสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่ให้ทราบว่า ถ้าจะเข้าใจโลกจริง ๆ ให้รู้ว่าปรากฏเพียงแต่ละอย่าง และแต่ละขณะจิตเท่านั้นเอง แต่เพราะการเกิดสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ก็เลยเป็นโลกที่ไม่แตกสลาย เป็นโลกที่ปรากฏเสมือนยั่งยืน และประกอบด้วยสัตว์ บุคคล ตัวตน วัตถุสิ่งของมากมายหลายอย่าง แต่ตามความเป็นจริงแล้ว โลกก็คือการเกิดขึ้นของจิตซึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์เพียงชั่วขณะเดียว แล้วก็ดับไปแต่ละขณะเท่านั้นเอง