สีลัพพตปรามาสกายคันถะ


    สำหรับคันถะที่ ๓ คือ สีลัพพตปรามาสกายคันถะ ซึ่งได้แก่ข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิดทางจากมรรคมีองค์ ๘ ทั้งหมดเป็นสีลัพพตปรามาสกายคันถะ เพราะเหตุว่าผู้ที่จะละสีลัพพตปรามาสกายคันถะได้หมดสิ้นเป็นสมุจเฉทได้นั้น คือ พระโสดาบันบุคคล ต้องเป็นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมจึงจะละสีลัพพตปรามาสกายคันถะได้ ถ้าท่านไม่สำเหนียก สังเกตว่า สิ่งที่ท่านกำลังประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ผิดหรือถูก ท่านก็ละสีลัพพตปรามาสคันถะไม่ได้ เพราะว่าโดยมากทั้งที่ต้องการเจริญวิปัสสนาไม่ทราบว่า จะรู้อารมณ์อะไร แล้วก็ไม่ทราบว่าจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะรู้อารมณ์นั้นได้ ถ้าท่านมีความเข้าใจถูกต้องว่า การเจริญสติปัฏฐานเพื่อจะให้ปัญญารู้ชัดเป็นวิปัสสนาญาณนั้นที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็คือการระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏกับท่าน ท่านเป็นบุคคลไหน เป็นบรรพชิตหรือว่าเป็นฆราวาส ขณะนี้เป็นปัจจุบัน อยู่ณสถานที่ใด มีนามมีรูปที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏเพราะเหตุปัจจัย สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนไปเลย ไม่ผละทิ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ที่เป็นของจริง ที่เป็นนามธรรม ที่เป็นรูปธรรม ที่เกิดปรากฏในขณะนี้แล้วเพราะเหตุปัจจัย นี่จึงจะชื่อว่าท่านรู้ถูก เข้าใจถูกว่าปัญญานั้นจะต้องรู้อะไร ในอริยสัจจ์ที่ ๑ คือทุกขอริยสัจจ์ อะไรเป็นทุกข์ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นทุกข์ เพราะอะไร เพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ว่าจะเป็นรูปหรือไม่ว่าจะเป็นนาม ถ้าท่านมีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ จะมีอะไรที่จะทำให้ท่านเข้าใจไขว้เขว คลาดเคลื่อนไปจากการที่สติระลึกรู้ลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้ไหม ปัญญาที่รู้ทุกขอริยสัจจ์ก็คือ ความรู้ในลักษณะของนาม และรูปที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ที่เกิดดับเป็นปกติเพราะเหตุปัจจัย ถ้ารู้อย่างนี้จริงๆ อวิชชาก็จะไม่มากั้น และทิฏฐิความเห็นผิดซึ่งจะมาในรูปของทิฏฐาสวะ ทิฏโฐฆะ หรือว่าสีลัพพตปรามาส ก็จะมาขวางกั้นไม่ได้ เพราะเห็นว่าท่านรู้ในข้อประพฤติปฏิบัติว่า การเจริญสตินั้นคืออย่างไร และรู้ทุกขสัจจ์นั้นคืออะไร ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าท่านไม่ใช่เป็นผู้ที่สำเหนียก สังเกตว่าสิ่งที่ท่านกำลังประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ผิดหรือถูก ท่านก็ละสีลัพพตปรามาสกายคันถะไม่ได้


    หมายเลข 6772
    31 ก.ค. 2567